หางหมูทอด เคล็ดลับความฟูเหมือนกินในร้านอาหาร

หางหมูทอดฟูกรอบ เมนูยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบ

พูดถึง “หางหมูทอด” ทำให้นึกถึงครั้งแรกที่ลองทำ เรียกได้เลยว่าเป็นประสบการณ์ที่จำได้ไม่ลืมว่า ภาพในหัวกับสิ่งที่ทำออกมามันต่างกันอย่างบอกไม่ถูก แทนที่จะได้หางหมูทอดหนังกรอบ ฟู กลับได้เนื้อนิ่ม ไม่กรอบ ไม่ฟู มาแทน แถมยังอมน้ำมันมาอีก เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ตัดสินใจไปกินหางหมูทอดข้างนอกตามร้านอาหารมากกว่าการลงมือทำเอง หรือเอาง่าย ๆ ว่ากลัวการเข้าครัวไปเลยก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวก่อน ใครที่เคยเจอเรื่องแบบเดียวกัน ในบทความนี้เราจะมาแจกสูตรการทำหางหมูกรอบ และทอดให้กรอบฟู เหมือนอยู่ในร้านอาหาร รับรองว่าคุณจะกล้าเข้าครัวทำอาหารแน่นอน แถมยังประหยัดงบในกระเป๋าแทนการออกไปกินข้าวข้างนอกได้อีกด้วย! สูตร หางหมูทอด กรอบฟูเหมือนร้านอาหาร หางหมูทอด เมนูทานเล่นที่ไม่ว่าจะเมนูหางหมูกรอบ ซอสพริกฉบับคนธรรมดา หรือหางหมูทอดกรอบ กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มแจ่ว และข้าวสวยร้อนๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อร่อยลงตัวในเวลาเดียวกัน สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่าวัตถุดิบที่หลายคนมองข้ามอย่างหางหมู คืออะไร นำไปทำเมนูอะไรได้บ้าง ลองเข้าไปอ่านและเข้าความรู้จักวัตถุดิบธรรมดานี้ก่อนว่าสามารถทำอะไรเมนูอะไรได้บ้าง ที่บางครั้งอาจจะช่วยสร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าให้กับเราได้ เผื่อในอนาคตใครอยากต่อยอดเป็นธุรกิจร้านอาหาร ตามไปดูสูตรทอดหางหมูพร้อมกับน้ำจิ้มหางหมูทอดกรอบรสเด็ดนี้กัน! วัตถุดิบหางหมูทอด ที่ต้องเตรียม หางหมู 4-5 หาง เกลือป่น น้ำส้มสายชู น้ำมันพืช ผงชูรส วิธีการทอด หางหมูทอด ให้อร่อย เตรียมหางหมูมาประมาณ 4-5 หาง ก่อนจะนำมาทำความสะอาด และขูดสิ่งสกปรกออกให้หมด จากนั้นล้างหางหมูด้วยเกลือประมาณ 2 กำมือ และล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อลดกลิ่นคาว และเมือกของหางหมู นำหางหมูที่ล้างด้วยน้ำสะอาดเรียบร้อยแล้ว มาต้มด้วยประมาณ 20 นาที พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มดูความสุกของหางหมู ก่อนจะตักขึ้นมาวางพักไว้ให้เย็น ใช้ส้อมจิ้มลงบนหางหมูให้ทั่ว ตรงนี้จะเป็นทริคสำคัญที่ช่วยให้เวลาทอดหางหมูกรอบ และฟูขึ้น นำเกลือมาทาให้ทั่วหางหมูประมาณ 1 กำมือ ก่อนจะเทผงชูรสพอประมาณตามใจชอบ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับหางหมูก่อนลงกระทะทอด เทน้ำส้มสายชูให้ทั่วหางหมูจนกว่าสีของหางหมูจะซีดลง เพื่อช่วยล้างเมือกและคราบน้ำมันที่เกาะอยู่บนหางหมูแถมยังช่วยให้หางหมูกรอบ และฟูมากขึ้นเวลาที่นำไปทอด จากนั้นนำหางหมูมาบั้ง หรือกรีดเป็นแนวขวางห่างประมาณ 1 ซม. และนำไปตากแดดประมาณ 1-2 ชม. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน และนำหางหมูลงทอดจนสุก ขั้นตอนนี้จะต้องพยายามทำให้น้ำมันทั่วหางหมู นำหางหมูที่ทอดไว้รอบแรกขึ้นพักประมาณ 10-20 นาที ก่อนจะนำลงทอดด้วยไฟกลางและแรง ทอดไปจนกว่าสีขอหางหมูจะเหลืองจนสวย จากนั้นนำมาหั่น จัดจานและเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ดได้เลย น้ำจิ้มกินคู่กับ หางหมูทอด วัตถุดิบและส่วนผสมน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ด น้ำส้มสายชูหมัก 5 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2  ช้อนชา พริกสับ (จะใส่มากใส่น้อยตามความใจชอบ) วิธีการทำน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ด เทน้ำส้มสายชูลงในหม้อที่เตรียมไว้ทั้งหมด  5 ช้อนโต๊ะ ใส่ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะและตามด้วยน้ำทรายอีก 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนจะใส่เกลือลงอีกครึ่งช้อนชา เคี่ยวส่วนผสมทุกอย่างให้งวดจนละลายเข้ากัน จากนั้นเทน้ำจิ้มลงในถ้วยที่เตรียมไว้ และใส่พริกสับที่เราหั่นไว้ลงไปได้เลย ระดับความเผ็ดขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟ Tips หางหมูทอด ไม่อมน้ำมัน ฉบับคนเข้าครัว ล้างหางหมูด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำส้มสายชู จะช่วยลดกลิ่นคาวของหางหมูได้ ต้มหางหมูก่อนนำมาทอด ทริคนี้จะทำให้เวลาทอดหางหมูจะฟูมากขึ้น แนะนำให้ “บั้งหางหมู” ด้วยการกรีดเป็นร่องเล็ก ๆ เวลาทอดจะทำให้น้ำมันเข้าในเนื้อได้เยอะ และทำให้กรอบทั่วทั้งชั้น ตากหางหมูให้แห้งก่อนนำมาทอด จะช่วยให้เนื้อไม่อมน้ำมันเวลาทอด อยากทอดให้กรอบ และฟู ต้องทอดทั้งหมด 2 รอบ รอบแรกใช้ไฟอ่อน (จะทำให้สุกทั่วทั้งชิ้น) รอบที่สองใช้ไฟแรง เพื่อให้หางหมูเหลืองและกรอบฟู ใช้น้ำมันใหม่ในการทอดทุกครั้ง เพราะจะทำให้หางหมูออกมามีสีสวย และไม่มีกลิ่นเหม็น เวลาทอด ถ้าอยากให้เมนูหางหมูทอด หอมและอร่อยมากขึ้น ลองโรยงาขาวหลังทอดใหม่ ๆ  ทริคนี้จะช่วยเพิ่มความหอม และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบของเมนูได้ด้วย Q&A หางหมูทอด ทอดยังไงให้ฟูฉบับคนที่ไม่อยากออกบ้าน หลังจากรู้วิธีการทำหางหมูทอด พร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ดแล้ว หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า แล้วต้องทำยังไงให้หางหมู กรอบ ฟูหอมและอร่อยเหมือนกับร้านอาหาร แบบที่เราไม่ต้องเสียเวลาขับรถออกไปกินข้างนอก วันนี้หมูอินเตอร์รวม 7 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ “หางหมูทอดยังไงให้กรอบฟูและอร่อย” พร้อมกับคำตอบมาบอก ตามมาเลย! Q: ทอดหางหมูยังไงให้หนังกรอบฟู A: เคล็ดลับง่าย  ๆ เริ่มจากการเอาหางหมูไปต้มประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วหางหมู พร้อมบั้งหางหมูเป็นร่องเล็ก ๆ และเอาไปตากแดดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนจะทอดทั้งหมด 2 รอบ (รอบแรกใช้ไฟอ่อน รอบสองใช้ไฟแรง) แค่นี้ก็จะทำให้ได้หางหมูทอดที่กรอบ ฟู และอร่อยแล้ว Q: จำเป็นต้องต้ม และหมักหางหมูก่อนทอดไหม A: จำเป็นทั้งสองอย่าง เพราะการต้มหางหมูในน้ำเดือด จะช่วยลดกลิ่นคาวของหางหมูได้ ก่อนจะนำมาบั้ง พร้อมกับหมักด้วยเกลือ และน้ำส้มสายชูเล็กน้อย บอกว่าเลยตรงนี้คือทริคสำคัญที่ทำให้หางหมูทอด กรอบ ฟู และไม่อมน้ำมัน   Q: ถ้าไม่มีแดดให้ตากหางหมู ต้องทำยังไงให้กรอบ และฟู A: จะใช้พัดลม หรือเตาอบลมร้อนก็ได้ เพราะเราจะทำให้หางหมูแห้งพอประมาณก่อนจะทอด วิธีนี้จะช่วยให้หางหมูไม่อมน้ำมัน แถมยังกรอบและฟูด้วย Q: หางหมูทอดต้องใช้น้ำมันแบบไหน ถึงจะทอดออกมาสวย กรอบฟู ไม่เหม็นหืน A: แนะนำให้ใช้น้ำมันใหม่ เช่น น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันถั่วเหลือง เพราะน้ำมันใหม่จะทนต่อความร้อนได้ดี ทำให้หางหมูทอดออกมาสีสวย กรอบฟู และไม่เหม็นหืน ควรเลี่ยงการใช้น้ำมันซ้ำ หรือน้ำมันเก่า เพราะจะทำให้หางหมูมีสีคล้ำ และไม่กรอบ Q: หางหมูอบหม้อลมร้อน สามารถทำได้ไหมถ้าไม่อยากใช้น้ำมัน A: ทำได้ เพราะวิธีที่เอาหางหมูอบหม้อลมร้อน จะช่วยให้หางหมูอมน้ำมันน้อยกว่าการทอดในกระทะ แถมยังได้เนื้อสัมผัสที่กรอบเหมือนกับกำลังกินหางหมูทอดกรอบไร้น้ำมัน เมนูเหมาะกับสายรักสุขภาพแน่นอน   Q: หางหมูทอดสามารถทำเมนูอื่นอีกได้ไหม A: ทำได้หลายเมนู! ไม่ว่าจะนำไปคลุกกับเมนูผัดกะเพรา หรือจะเอาไปเป็นเครื่องเคียงของทอดกินคู่กับเมนูอย่างต้มยำก็ยังได้ ได้ทั้งความอร่อยที่กรอบ และฟูในเวลาเดียวกัน รับรองว่าได้เมนูใหม่ที่ไม่ซ้ำเดิม ไม่จำเจแน่นอน Q: หางหมูทอดกินคู่กับอะไรอร่อยที่สุด A: หางหมูทอดกินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด น้ำจิ้มแจ่ว หรือซอสพริกก็อร่อยลงตัว ยิ่งเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ จะทำให้หางหมูทอดที่ทั้งกรอบและฟู มีรสชาติอร่อยและกลมกล่อมเหมือนกินในร้านอาหารแน่นอน บอกเลยว่า เมนูหางหมูทอดไม่ได้มีดีที่ความอร่อยเท่านั้น แค่รู้วิธีการทำหางหมูที่ถูกต้อง รับรองว่าคุณจะมองเมนูนี้เปลี่ยนไป และกล้าเข้าครัวทำอาหารแน่นอน เพราะในบทความนี้เราได้บอกทั้งวิธีการทอดหางหมูให้กรอบ และวิธีทำน้ำจิ้มรสเด็ด แถมยังได้ทริคดี ๆ การทอดหางหมูให้กรอบฟู โดยไม่ต้องเสียเวลาออกไปข้างนอก ลองทำตามรับรองว่าสายทำอาหารที่บ้านแบบเรา ๆ นั้นก็ยกร้านอาหารมาไว้ที่บ้านได้ แล้วถ้าอยากเปลี่ยนจากหางหมูทอดเป็น หางหมูย่าง ล่ะ? จะใช้สูตรไหนหมักให้อร่อยและถูกใจคนในบ้าน ตามไปอ่านสูตรหมักหางหมูย่างได้ในบทความต่อ ๆ ไปได้เลย ได้ทั้งความรู้ และวิธีการทำที่ขนทัพการทำอาหารมาเพียบ!

หางหมูยาจีน สูตรโบราณ เมนูรักสุขภาพ ทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน

หางหมูยาจีน สูตรเด็ดความอร่อยสำหรับคนรักสุขภาพ

หางหมูยาจีน เมนูยอดฮิตของสายรักสุขภาพที่มีต้นตำรับมาจากสมัยจีนโบราณ บางคนอาจยังไม่รู้จักเมนูนี้ ที่ได้ฉายาว่าเป็นยารักษาโรค บอกเลยว่าเต็มไปด้วยประโยชน์จากสมุนไพรจีน แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม หนึบ และละลายในปาก ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนย้อนไปสมัยจีนโบราณกัน ไปรู้จักกับที่มาของเมนูหางหมูยาจีน พร้อมสูตรอร่อยที่ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน รับรองว่าได้ทั้งความอร่อย และประโยชน์ที่เต็มอิ่มจนต้องอยากกลับบ้านไปทำให้คนที่บ้านกินแน่นอน! หางหมูยาจีน ต้นตำรับที่ควรรู้ ย้อนกลับมายุคจีนโบราณทั้งที มารู้จักกับต้นตำรับของเมนูนี้กันก่อนดีกว่ามีที่มาจากไหน ความจริงแล้วต้นตำรับของเมนูนี้ เกิดมาจากวัฒนธรรมของจีนโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง และชิง ในเรื่องของแพทย์แผนจีน ที่เล่าต่อกันมาว่า อาหาร คือ ยารักษาโรค ต้นตำรับนี้จะเน้นการใช้หางหมูเป็นวัตถุดิบหลัก ที่มีคอลลาเจนสูง ผสมกับใช้สมุนไพรจีน อย่าง โป๊ยกั๊ก อบเชย ตังกุย เก๋ากี้ และเปลือกส้มแห้ง จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพราะฉะนั้น การเลือกวัตถุดิบที่ดีและรู้วิธีการทำที่ถูกต้อง จะทำให้ได้ทั้งประโยชน์ และความอร่อยไปในเวลาเดียวกัน! หางหมูยาจีน จากความรู้ทางการแพทย์สู่เมนูบำรุงร่างกาย หางหมู เป็นส่วนที่มีไขมันและคอลลาเจนเยอะ เวลานำไปหางหมูตุ๋นจะช่วยบำรุงผิวพรรณและข้อต่อ ถ้านำไปปรุงอาหารรวมกับสมุนไพรอย่าง “ตังกุย” จะช่วยบำรุงเลือด และปรับฮอร์โมน นอกจากนี้ยังมี “พุทราจีน” และ “เก๋ากี้” ผลไม้ที่ให้ความหวาน แถมยังช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย หางหมู เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่มีฤทธิ์ร้อน ส่วนสมุนไพรจีนชนิดที่อยู่ในเมนูหางหมูยาจีนจะมีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นกับร่างกายทั้ง 2 อย่างนี้เปรียบเหมือน “หยินกับหยาง” ที่มาหักล้างกันให้สมดุล ทำให้เหมาะสำหรับคนที่หนาวง่าย อ่อนเพลีย หรือมีโรคประจำตัว อย่างโรคโลหิตจาง มักจะนิยมทำในฤดูหนาวเพราะจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น จุดเด่นของ หางหมูยาจีน ทำไมถึงเป็นมากกว่าซุปที่อร่อย? หางหมู ถึงจะเป็นวัตถุดิบที่หลายคนมองข้าม แต่เวลาที่นำมาทำอาหาร กลับกลายเป็นเมนูที่มีความพิเศษและโดดเด่นมากขึ้น อย่างเมนูหางหมูยาจีน  ที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเนื้อสัมผัส ประโยชน์ ส่วนผสม หรือแม้แต่การนำวัฒนธรรมของจีนโบราณเข้ามาใช้กับอาหารไทยจนเป็นที่รู้จักกัน เราได้รวบรวมจุดเด่นของเมนูนี้มาแล้ว ตามไปดูกันเลย! หางหมู  วัตถุดิบที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม หนึบ ละลายในปาก ส่วนมากจะเน้นหนัง เส้นเอ็น และไขมัน ไม่ว่าจะนำมาต้ม หรือตุ๋น จะทำให้เนื้อนุ่ม หนึบ และเคี้ยวเพลิน สามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนู ไม่เพียงแต่เมนูนี้เท่านั้น แต่ยังทำเมนูหางหมูต้ม หางหมูตุ๋น หรือหางหมูพะโล้ได้ แค่นำไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ ก็ทำให้ได้เนื้อที่มีรสชาติเข้มข้น และเนื้อสัมผัสที่นุ่มตามความต้องการแน่นอน รวมทั้งได้รสชาติของน้ำซุปที่หวาน กลมกล่อม และสมุนไพรที่ตุ๋นรวมกันในหม้อ เมนูความอร่อย เต็มไปด้วยสมุนไพรจีน เมนูนี้มักจะใช้วิธีการตุ๋น และต้ม เพื่อทำให้เนื้อนุ่ม และหนึบกำลังดี จะใส่ส่วนผสมสมุนไพรจีนอย่าง ตังกุย พุทราจีน เก๋ากี้ โป๊ยกั๊ก และอบเชยที่ช่วยบำรุงร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เมนูนี้มีจุดเด่นเป็นเหมือนยาในรูปแบบของอาหารที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง น้ำซุปมีกลิ่นหอม และความหวานจากสมุนไพร ส่วนมากน้ำซุปจะไม่ใส่ผงชูรส เพราะใช้พุทราจีน และเก๋ากี้เป็นตัวให้ความหวานและความหอมกับเมนูนี้ ทำให้หางหมูยาจีนโดดเด่นในเรื่องของความหอมและรสชาติที่หวาน ยิ่งใช้เวลานานในการเคี่ยวจะทำให้น้ำซุปเข้มข้นมากขึ้น เปิดสูตรโบราณวิธีทำ พร้อมกับเคล็ดลับความอร่อย! รู้จักทั้งต้นตำรับ และจุดเด่นของเมนูนี้แบบคร่าว ๆ กันแล้ว งั้นเรามาเปิดสูตรโบราณ หางหมูยาจีน ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านง่าย ๆ เพียงแค่ซื้อวัตถุดิบอย่างหางหมู และสมุนไพรจีนไม่กี่อย่างมาทำเอง ก็ทำให้ได้น้ำซุปที่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และหอมกลิ่นสมุนไพรทันที ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปข้างนอก วัตถุดิบและส่วนผสม หางหมู 500 กรัม ตังกุยแห้ง 4 แผ่น พุทราจีน 8 ลูก เก๋ากี้ 1 ช้อนโต๊ะ โป๊ยกั๊ก 2 ดอก อบเชยแท่ง 1 แท่ง น้ำสะอาด 6 ถ้วยครึ่ง ขิงแก่ (หั่นแว่น) กระเทียม ขั้นตอนและวิธีทำ ขั้นตอนแรกเตรียมหางหมู และล้างให้สะอาด ก่อนนำไปต้มน้ำเดือดประมาณ 5 นาที เพื่อลดกลิ่นคาว หลังจากนั้นใส่น้ำสะอาดลงหม้อ ก่อนจะใส่ขิง กระเทียม ตังกุย พุทราจีน อบเชย เก๋ากี้ โป๊ยกั๊ก และอบเชย ต้มจนได้กลิ่นสมุนไพร พอได้กลิ่นสมุนไพรแล้ว ให้ใส่หางหมูที่เตรียมไว้ลงหม้อ ก่อนจะลดไฟอ่อนและตุ๋นหางหมูไว้ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง สามารถเพิ่มน้ำตามที่ต้องการได้ สามารถใส่ซีอิ๊วขาว หรือเกลือเล็กน้อยได้ตามใจชอบ เพื่อเพิ่มรสชาติ หลังจากที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มแล้ว ตักใส่ถ้วยและโรยพริกไทย เพื่อเพิ่มความอร่อย ก่อนนำมาเสิร์ฟพร้อมทานได้เลย เคล็ดลับความอร่อยทำได้ง่าย มือใหม่ควรรู้! เวลาตุ๋น แนะนำว่าให้ใช้หม้อเคลือบ หรือหม้อดิน จะทำให้น้ำซุปมีกลิ่นหอม และรสชาติเข้มข้น อร่อยมากขึ้นจากเดิม เวลาปรุงแนะนำว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส เพราะสมุนไพรจีนให้ความหวานกับเมนูนี้อยู่แล้ว Q&A หางหมูยาจีน เมนูที่คนรุ่นใหม่ยังไม่รู้จัก คนรุ่นใหม่อาจตั้งคำถามหลายอย่างว่า “หางหมูกินยังไง?”  “อร่อยจริงมั้ย?” แล้ว “ดีต่อสุขภาพจริงเหรอ?” แม้หลายคนจะไม่ค่อยรู้จักกับหางหมูยาจีน อาจจะทำให้งง ๆ ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี วันนี้เราเลยรวบรวม 5 คำถามยอดฮิตมาตอบทุกคนเกี่ยวกับอาหารจานเด็ดนี้แล้ว รีบตามมาดูคำตอบกัน! Q: ทำไมต้องใช้หางหมู ทำเมนูประเภทต้ม หรือตุ๋น A: เพราะหางหมูมีหนัง และเอ็นของไขกระดูกที่มีคอลลาเจนสูง ช่วยเรื่องบำรุงผิวพรรณ เวลาที่นำมาตุ๋นจะทำให้เนื้อนุ่ม หนึบและน้ำซุปมีรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม เหมาะกับการตุ๋นคู่กับสมุนไพรจีนที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ Q: หางหมูยาจีนกับซุปกระดูกหมูทั่วไปแตกต่างกันยังไง A: เมนูนี้มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้สมุนไพรจีนหลายอย่างเข้ามาตุ๋นกับหางหมู ไม่ว่าจะเป็น ตังกุย พุทราจีนและเก๋ากี้ ที่ช่วยให้ความหวาน กลิ่นหอมกับน้ำซุป โดยไม่ต้องใส่ผงชูรส ส่วนซุปกระดูกหมูธรรมดาจะเน้นการเคี่ยวกระดูกและปรุงรสจากผงชูรส Q: ถ้าหาซื้อสมุนไพรจีนไม่ครบ ทำได้ไหม A: ทำเมนูนี้ได้แน่นอน แต่เราจะเลือกใช้เฉพาะตังกุย พุทราจีน เก๋ากี้ที่ให้ความหวานและประโยชน์แก่ร่างกาย แทบไม่ต้องปรุง หรือจะปรับวิธีการทำตามวัตถุดิบที่มีได้เลย Q: หางหมูยาจีน มีสรรพคุณช่วยอะไรได้บ้าง A: ช่วยบำรุงเลือด บำรุงไต เสริมคอลลาเจนให้กับร่างกาย ฟื้นฟูพลังงานและยังลดความเย็นในร่างกายได้ด้วย Q: หางหมูยาจีน เหมาะกับคนกลุ่มไหน A: เมนูนี้เหมาะกับกลุ่มคนที่รักสุขภาพ ผู้สูงอายุ คนที่เป็นโรคโลหิตจาง ผู้หญิงหลังคลอด และคนที่หนาวง่าย เพราะช่วยบำรุงเลือด ฟื้นฟูร่างกาย และช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายของเราอุ่นพอดี เชื่อได้เลยว่า ถึงวัตถุดิบนี้จะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของหลายคน เวลาที่ซื้อของมาทำอาหาร แต่พอได้รู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ก็รู้ว่า หางหมู เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้เยอะมากแถมยังได้ประโยชน์อีก อย่างเมนูหางหมูยาจีนที่เอาสมุนไพรจีนมาตุ๋นกับหางหมู ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อมมากขึ้น แถมยังได้ความหวานจากสมุนไพรจีน จนแทบไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย แนะนำว่าลองไปทำตามกันดูนะ รับรองว่าคุณจะมองหางหมูเปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน หรือ อาจกลายเป็นของโปรดของใครหลายคน เวลาทำอาหารทุกวันก็ได้ และถ้ายังนึกไม่ออกว่าหางหมูเอาไปทำอะไรได้อีก ตามไปอ่านสูตรหางหมูพะโล้ต่อได้เลย แล้วมาเปิดสูตรความอร่อยนี้ไปด้วยกัน!

สูตรหางหมูพะโล้ ตุ๋นเนื้อนุ่ม ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อยได้

หางหมู วัตถุดิบที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย

สูตรหางหมูพะโล้ เคยลองทำกันรึยัง? ถึงหางหมูจะเป็นวัตถุดิบที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ด้วยเนื้อสัมผัสที่มีความนุ่ม หนึบ การทำเมนูตุ๋นอย่าง “หางหมูพะโล้” จะได้เมนูที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่ทั้งกลมกล่อม เข้มข้น หวานติดเค็มเล็กน้อย แถมยังถูกปากทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ หรือจะทำให้คนที่คุณรักทาน ก็รับรองว่าเป็นเมนูพิเศษแสนอร่อยของหลายคนได้แน่นอน วันนี้เราเลยพาทุกคนมาตะลุยสูตรหางหมูพะโล้ ที่ได้ทั้งความนุ่ม อร่อย ละลายในปากจนต้องร้องว้าว ไปตะลุยสูตรนี้กัน! สูตรหางหมูพะโล้ คืออะไร มาทำความรู้จัก เมนูขาประจำของทุกบ้านกัน! ก่อนจะไปเปิดสูตรการทำหางหมูพะโล้โบราณ ลองมาทำความรู้จักที่มาของพะโล้โบราณกันก่อนว่า พะโล้มีต้นกำเนิดมาจากไหน ทำไมถึงกลายมาเป็นสูตรโบราณที่ทั้งอร่อย และกลมกล่อม จนกลายเป็นเมนูขาประจำของทุกบ้านได้ “พะโล้” มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศจีน โดยเฉพาะกลุ่มของคนจีนแต้จิ๋ว ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย และเอาสูตรอาหารอย่างพะโล้ ติดตัวเข้ามาด้วย ทำให้คำว่า “พะโล้” ถูกคิดว่าน่าจะเพี้ยนเสียงมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วว่า “ผะโล่ว (卤)” แปลว่า การตุ๋นในน้ำพะโล้ให้อาหารมีรสหวาน และเค็มสลับกัน ผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศ สูตรต้นฉบับจากจีน ใช้วิธีการเคี่ยวน้ำตาลทรายแดงในกระทะให้เป็นสีน้ำตาล ก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น ซีอิ๊ว เครื่องเทศ พวกอบเชย โป๊ยกั๊ก สมุนไพรจีนชนิดหลายชนิด และเนื้อหมู ลงไปในหม้อ แล้วเคี่ยวให้สุก วิธีนี้จะทำให้พะโล้มีรสชาติเข้มข้น และอร่อยมากขึ้น  ส่วนสูตรของคนไทยบอกเลยว่า จะเน้นเรื่องรสชาติที่หงาน เค็ม กลมกล่อมและหอมกำลังดีจากสมุนไพรไทยสามทหารเสืออย่าง รากผักชี กระเทียม และพริกไทย เรียกได้ว่าอร่อย ถูกปากหลายคนแน่นอน! สูตรหางหมูพะโล้: เคล็ด (แต่) ไม่ลับ ความอร่อยของเรา หางหมูพะโล้ เรียกได้ว่าเป็นเมนูความอร่อยที่ใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง อร่อยได้ในหม้อเดียว จากหางหมู วัตถุดิบที่หลายคนมองข้ามกลับกลายมาเป็นอาหารจานเด็ดของหลายคนที่มีทั้งความนุ่ม หอม และเข้มข้น ด้วยวิธีการตุ๋นในหม้อเป็นเวลานานด้วยสมุนไพรของไทยอย่างสามเกลอ ไม่ว่าจะเป็นรากผักชี กระเทียม และพริกไทย รับรองว่าได้เนื้อนุ่มตามที่ต้องการแน่นอน ละลายในปาก แถมได้น้ำซุปที่เข้มข้น อร่อยโดนใจแบบไม่ต้องปรุงเพิ่มที่หลังอีก สูตรหางหมูพะโล้ที่ดี ไม่ใช่แค่ต้องวัตถุดิบดี แต่ต้องมีเทคนิคในการตุ๋นให้นุ่มละลายในปาก แต่ยังคงรสชาติของเมนูนี้ไว้ด้วย ถ้าอยากรู้เคล็ดที่ (ไม่) ลับ ตามมาดูสูตรอร่อยกันเลย! วัตถุดิบและส่วนผสม หางหมูหั่นท่อน 500 กรัม ไข่ไก่ 4 ฟอง (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) เต้าหู้แข็ง 1 ก้อน กระเทียมทุบละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 2 ราก พริกไทยขาวเม็ด 1 ช้อนชา เกลือ 1/2  ช้อนชา น้ำตาลปิ๊บ 4 – 6 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ทัพพี น้ำเปล่า (เทให้ทั่วหางหมู และไข่ไก่) ซีอิ๊วดำหวานเล็กน้อย (ถ้าสีของน้ำซุปเข้มแล้วไม่ต้องใส่เพิ่ม) วิธีการทำหางหมูพะโล้สูตรโบราณ ต้มไข่ไก่บนกระทะ 6 นาที ใส่เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ และคอยคนไข่ไก่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ไข่แดงอยู่กลางใบสวยพอดี จากนั้นแช่ไข่ในน้ำเย็น ปอกเปลือก และพักไว้ เตรียมและล้างหางหมูให้สะอาด ก่อนจะนำมาลวกในหม้อประมาณ 3 – 5 นาที เพื่อลดกลิ่นคาว ก่อนจะหั่นเป็นชิ้นตามความต้องการ ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้ละเอียด แล้วนำไปผัดในหม้อด้วยไฟอ่อนจนหอม และพักทิ้งไว้ เติมน้ำเปล่าลงในหม้อ ใส่น้ำตาลปิ๊บ และเคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนได้สีน้ำตาลเข้ม จากนั้นใส่เครื่องแกงที่ผัดแล้ว ลงในหม้อที่เคี่ยวแล้ว และปรุงรสด้วยน้ำปลา และคนให้เข้ากัน ใส่หางหมูที่หั่นชิ้นลงไปในหม้อ ตั้งไฟกลางจนหางหมูเริ่มนุ่ม เติมน้ำเปล่าเพิ่มตามความต้องการ ต้มจนเดือดและลดไฟให้เบาลง ก่อนจะใส่ไข่ไก่ เต้าหู้ทอดลงในหม้อ เคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนจนหางหมูนุ่มได้ที่ ถ้าต้องการสีของน้ำซุปให้เข้มขึ้น สามารถเติมซีอิ๊วดำเพิ่มได้ตามความชอบ เคล็ดลับเพื่มความอร่อย หางหมูพะโล้ โป๊ยกั๊ก และ อบเชย  จะช่วยเพิ่มความหอมของพะโล้แบบจีนโบราณ ถ้าทิ้งไว้ข้ามคืน และอุ่นกินตอนเช้า จะทำให้รสชาติมีความเข้มข้น และกลมกล่อมมากขึ้น กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือจะกินกับข้าวต้มก็เข้ากันได้ดี อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม Q&A สูตรหางหมูพะโล้ เมนูโปรดของทุกบ้าน อร่อย นุ่ม ทำได้ไม่ยาก! ไปเปิดสูตรวิธีทำหางหมูพะโล้โบราณกันมาแล้ว หลายคนอาจมีคำถามที่คาใจว่า “จะทำให้หางหมูนุ่มได้ยังไง ?” “ถ้าขาดวัตถุดิบบางอย่างยังทำเมนูนี้ได้อยู่ไหม?” วันนี้หมูอินเตอร์รวม 5 คำถามมาตอบคำถามที่สงสัยกัน จะมีคำถามไหนบ้างนั้น ตามไปอ่านกัน! Q: หางหมูพะโล้ต้มยังไงให้นุ่ม A: เคล็ดลับความนุ่มง่าย ๆ คือการต้มหางหมูในน้ำเดือดประมาณ 3 – 5 นาที จากนั้นนำไปตุ๋นไฟอ่อน ด้วยสมุนไพรอย่าง รากผักชี กระเทียม และพริก ประมาณ 1 ชั่วโมง จะช่วยให้เนื้อหางหมูสุก และนุ่มพอดี ลองไปทำตามกันดูนะ! Q: หางหมูพะโล้ต้องใส่อะไรบ้าง A: วัตถุดิบหลัก ๆ ที่ใช้ทำหางหมูพะโล้ จะมีหางหมู ไข่ไก่ เต้าหู้ น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วดำ น้ำปลา และที่ขาดไม่ได้ คือ สมุนไพร สามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) ที่ช่วยเพิ่มความหอม แต่ถ้าใครอยากได้ความหอมมากขึ้นก็ใส่โป๊ยกั๊ก และอบเชย เพื่อเพิ่มความหอมก็ได้ Q: โป๊ยกั๊ก และอบเชย จำเป็นต้องใส่ในหางหมูพะโล้ทุกครั้งไหม A:  ไม่จำเป็นต้องใส่ในพะโล้ทุกครั้งก็ได้ เพราะเรามีส่วนผสมอย่างรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้ความหอมอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้ความหอมแบบจีนโบราณ แนะนำว่าให้ใส่โป๊ยกั๊ก 1 – 2 ดอก และอบเชยเล็กน้อย จะทำให้กลิ่นหอมมากขึ้น Q: ทำไมต้องใส่น้ำตาลปี๊บลงในพะโล้ A:  น้ำตาลปี๊บจะช่วยให้พะโล้มีรสหวาน กลมกล่อม และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งจะแตกต่างจากน้ำตาลทรายทั่วไปที่ให้ความหวานอย่างเดียว Q: เมนูพะโล้เก็บไว้ได้นานไหม A:  ถ้าแช่พะโล้ไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้ 2 – 3 วัน แต่ถ้าแช่แข็งไว้จะเก็บได้นานถึง 1 อาทิตย์ เรียกได้ว่าถ้าเอามาอุ่นกินซ้ำจะได้รสชาติที่กลมกล่อม และเข้มข้นขึ้น ใครที่เคยมองข้ามหางหมู ไม่ว่าจะเคยกินแล้วหรือยังไม่เคยลอง แล้วคิดว่าไม่อร่อย ลองมาเปิดใจให้กับวัตถุดิบนี้ดู ไม่งั้นจะถือว่าพลาดของอร่อย เพราะหางหมู เป็นวัตถุดิบที่ทำอาหารได้มากกว่าที่เราคิด อย่างเมนูหางหมูพะโล้สูตรโบราณที่ตุ๋นกับสมุนไพรจนได้เนื้อที่มีความนุ่ม หนึบ หอมกลิ่นเครื่องเทศ แถมยังได้น้ำซุปที่มีความเข้มข้นถูกปากใครหลายคนแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม และถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเอาไปทำเมนูไหนอีก ตามมาอ่าน หางหมูทำอะไรได้บ้าง ได้เลย รับรองว่าวัตถุดิบที่คนมองข้ามนี้อาจจะกลายเป็นวัตถุดิบขาประจำของหลายบ้านก็ได้นะ

5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม 10 นาที เคล็ดลับละลายในปากทุกเมนู

5 สูตรหมักหมูนุ่มใน 10 นาที

หมักหมูได้ไม่ยาก 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม เปลี่ยนจากเนื้อหมูธรรมดาให้กลายเป็นเนื้อหมูแสนอร่อยได้ง่าย ๆ ต้องลอง เชื่อว่าหนึ่งในวัตถุดิบที่นิยมของทุกบ้าน คงพลาด “เนื้อหมู” ไปไม่ได้ เพราะเป็นวัตถุดิบที่หาง่าย ทำได้ทุกเมนู ตั้งแต่มื้อธรรมดาจนถึงมื้อพิเศษ แต่บ่อยครั้งหลายคนเจอปัญหาเนื้อหมูแห้ง เหนียว และแข็งจนทำให้มื้ออาหารแสนพิเศษต้องจบลงด้วยมื้อที่ไม่อร่อยแทน แล้วจะทำยังไงให้จากเนื้อหมูธรรมดากลายเป็นหมูนุ่มสุดอร่อย วันนี้หมูอินเตอร์รวม 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม หมักง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่อร่อย มาแนะนำสายชอบกินชาบู หมูกระทะ รับรองไม่ว่าเมนูไหนก็เอาอยู่ อยากให้เนื้อหมูนุ่ม ควรเลือกเนื้อส่วนไหน ให้เข้ากับ 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม ก่อนจะไปถึงสูตรหมักหมูนุ่ม สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ “การเลือกเนื้อหมูที่เหมาะสม” เพราะเนื้อแต่ละส่วนให้สัมผัสที่ต่างกัน ถ้าเลือกถูก รับรองว่าสูตรหมักจะได้ผลแน่นอน มาเลือกเนื้อหมูให้ได้เนื้อที่นุ่ม อร่อยแบบมือโปรกันเลย เทคนิคเลือกเนื้อหมูสุดอร่อย ให้เหมาะกับสูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม ก่อนจะรู้วิธีหมักเนื้อหมูให้นุ่ม อร่อยโดนใจ ต้องเริ่มจากการเลือกเนื้อหมูที่สดใหม่ สะอาด และปลอดภัย สังเกตจาก 2 อย่างนี้ สีของเนื้อหมูสด ต้องมีสีแดงอมชมพู ผิวต้องมันลื่น ไม่เหนียว เวลากดลงบนเนื้อจะต้องคืนตัว สีไม่ซีด คล้ำ และเขียว ดังนั้นก่อนเลือกซื้อเนื้อหมูควรดูให้แน่ใจก่อนว่าเนื้อหมูได้คุณภาพ และปลอดภัยต่อร่างกายของเราหรือไม่ กลิ่นของเนื้อหมู ต้องไม่มีกลิ่นเหม็น เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะไม่ว่าเราจะเดินเข้าไปเลือกซื้อหมูตามตลาดสด ร้านขายหมูสด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพียงแค่ได้กลิ่นของเนื้อที่มีกลิ่นเหม็นลอยมา เราก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไม่ซื้อเนื้อหมูจากร้านนี้แน่นอน และจะหันหลังกลับไปซื้อร้านอื่นแทน เนื้อหมูส่วนไหน เหมาะกับสูตรหมักเนื้อหมูนุ่มจนอร่อย นุ่ม ละลายในปาก สำหรับส่วนของเนื้อหมูที่จะนำมาหมักให้เนื้อนุ่ม เราขอแนะนำเนื้อหมูทั้งหมด 3 ส่วนที่หมักแล้วนุ่มแน่นอน  ทำอาหารในมื้อพิเศษได้ไม่ยาก พร้อมหาซื้อวัตถุดิบได้ง่าย สันคอหมู ส่วนที่เหมาะที่สุด เพราะมีไขมันแทรกในเนื้อ ใช้เวลาหมักไม่นาน นำไปทำอาหารจะได้เนื้อที่มีความนุ่ม ละลายในปาก รับรองถูกใจ สายปิ้งย่าง ชาบู หมูกระทะ แน่นอน สันในหมู ส่วนที่ขึ้นชื่อว่านุ่มที่สุด จากทุกส่วนของหมู จะทำด้วยวิธีปิ้ง ย่าง ผัด และทอด ทำให้ได้เนื้อนุ่มที่แตกต่างกัน เวลานำมาหมักไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน ทำให้ไม่เหมาะกับเมนูหมูกระทะ เพราะถ้าสุกเกินไป เนื้อจะมีความแห้ง และแข็ง หมูสามชั้น หมูที่มีเนื้อ มัน และหนังสลับกันเป็นชั้น ๆ เหมาะกับการหมักก่อนนำมาทำอาหาร เพราะหมูสามชั้นมีรสชาติเข้มข้นขึ้นจากการหมักด้วยเครื่องปรุงรส ทำให้เหมาะกับการนำไปทอดหมูกรอบ หรือปิ้งย่างชาบู หมูกระทะก็ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มไปอีกแบบ แจก 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม ทำง่าย อร่อยทุกบ้าน รู้เรื่องวิธีการเลือกเนื้อหมูไปแล้ว งั้นหมูอินเตอร์ขอแนะนำ 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม จากนมสด สับปะรด โซดา กีวี่ และเอนไซม์ ใครที่กำลังเจอกับปัญหาการหมักหมูมากี่วิธีก็ไม่ยอมนุ่มสักที ตามมาดูเลยว่าทั้ง 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มนี้จะช่วยทำให้เนื้อหมูนุ่มได้จริงหรือไม่ บางทีอาจเปลี่ยนจากเรื่องยากในการหมักหมูให้กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มด้วยนมสด การหมักหมูให้นุ่มด้วยนมสด เป็นวิธีที่ให้เนื้อหมูมีความนุ่มมากขึ้น แถมยังช่วยลดกลิ่นคาวของเนื้อหมูได้ วิธีหมักหมูด้วยนมสดนั้นเหมาะกับเนื้อที่มีไขมันไม่เยอะ เวลาที่หมักเนื้อหมูเสร็จเรียบร้อยแล้วนำมาทำอาหาร เนื้อหมูจะมีความนุ่ม และมีความหอมของนมสดมากขึ้น ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม นมสดจืด 120 กรัม วิธีหมักเนื้อหมู ขั้นตอนแรกนำเนื้อหมูที่เตรียมไว้ใส่ในถ้วยผสม หลังจากนั้นเทนมสดจืดลงไปให้ท่วมเนื้อหมู คลุกเคล้าเนื้อหมูและนมให้เข้ากัน หลังจากนั้นปรุงรสตามใจชอบ นำเนื้อหมูที่หมักไว้เข้าตู้เย็น 30-60 นาที หรือจะทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มด้วยสับปะรด อย่างที่รู้กันว่า “สับปะรด” ทำให้เนื้อหมูนุ่มได้เร็วขึ้น เพราะเนื้อสับปะรดจะมีเอนไซม์โบรมีเลน ทำหน้าที่ในการย่อยโปรตีน ทำให้จากเนื้อที่มีความเหนียว สามารถนุ่มลงเพียงใช้เวลาไม่กี่นาทีจะทำให้เนื้อหมูนุ่มและติดความหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ต้องระวังเรื่องเวลาจะใช้วิธีนี้ในการหมักเนื้อหมู ควรพักเนื้อหมูไม่เกิน 15 นาที เพราะเวลานำไปทำอาหาร จะทำให้เนื้อหมูเละได้ ใครที่ซื้อสับปะรดมาแล้วกำลังจะเน่า รีบเอามาหมักหมูด่วน ก่อนเสียดายแล้วต้องทิ้งลงถังขยะ ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม สับปะรดสุก 3 ช้อนโต๊ะ (บดละเอียด) หรือใช้น้ำสับปะรดสด 1/4 ถ้วย วิธีหมักเนื้อหมู ขั้นตอนแรกนำสับปะรดสุกมาบด หรือปั่นเป็นน้ำสับปะรด หลังจากนั้นนำเนื้อหมูที่เตรียมไว้ ปรุงรส และผสมกับสับปะรดที่เตรียมไว้ คลุกเคล้าเนื้อหมูและเนื้อสับปะรดบดให้เข้ากัน ก่อนจะนำไปปรุงรสให้เรียบร้อย นำเนื้อหมูที่หมักไว้แช่ตู้เย็น ทิ้งประมาณ 5-15 นาที พอครบเวลาสามารถนำไปทำอาหารต่อ สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มด้วยเบกกิ้งโซดา เบกกิ้งโซดา ถูกนำมาเป็นส่วนผสมของซอสหมักเนื้อต่าง ๆ หนึ่งในนั้นยังมีส่วนที่ช่วยให้เนื้อหมูนุ่มขึ้น และลดความเหนียวได้ดีเลย  การหมักด้วยวิธีนี้ ถือว่าเวิร์กมาก แต่ต้องระวังตอนหมักเนื้อหมู เพราะถ้าใส่เบกกิ้งโซดาในปริมาณที่มากเกินไป จากเนื้อหมูที่นุ่มขึ้น อาจได้ความขมติดมาด้วย ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา น้ำเปล่า 1 ถ้วย วิธีหมักเนื้อหมูให้นุ่มด้วยเบกกิ้งโซดา (วัตถุดิบเป็นที่ต้องการของการทำขนมหวาน) ขั้นตอนแรกละลายเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชาในถ้วยน้ำเปล่า นำเนื้อหมูที่เตรียมไว้แช่ลงในน้ำที่ผสมเบกกิ้งโซดา จากนั้นแช่ตู้เย็น และทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ย้ำว่าขั้นตอนนี้สำคัญมาก พอครบเวลาที่หมักให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่า 2-3 รอบ ก่อนจะนำไปปรุงรส และทำอาหารต่อ สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มด้วยกีวี่ ขึ้นชื่อผลไม้ที่ได้ฉายาแห่ง “เชฟมือทอง” ของตระกูลผลไม้ คงหนีไม่พ้น “กีวี่” ที่ให้ประโยชน์กับร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้เนื้อหมูนุ่ม เพราะในตัวของกีวี่มีเอนไซม์พิเศษอย่างแอคทินิดีน คอยช่วยทำหน้าที่ให้หมูของเรานุ่มเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามควรดูเวลาหมักเนื้อให้ไม่เกิน 15 นาทีเพราะอาจจะทำให้เนื้อเละได้เช่นเดียวกับการหมักด้วยสับปะรด ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม กีวี่หั่นชิ้น หรือสับ 100 กรัม วิธีหมักเนื้อหมูให้นุ่มด้วยผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่า “เชฟมือทอง” อย่างกีวี่ นำกีวี่ที่หั่น หรือสับไว้แล้ว ผสมกับเนื้อหมูที่เตรียมไว้ พร้อมใส่เครื่องปรุงรสให้เรียบร้อย หลังจากนั้นนำเนื้อหมูที่หมักไว้ไปแช่ตู้เย็น และทิ้งไว้ประมาณ 5-15 นาที ก่อนจะนำมาทำอาหารต่อ สูตรหมักเนื้อหมูนุ่มด้วยเอนไซม์ วิธีนี้จะใช้เอนไซม์ธรรมชาติ เช่น สับปะรด และมะละกอดิบ มาสกัดให้เป็นผงเอนไซม์ก่อนนำมาใช้ในการหมักเนื้อหมูให้นุ่ม ส่วนมากร้านอาหารนิยมใช้จนได้ฉายาว่า “วิธีหมักเนื้อหมูให้นุ่มแบบมืออาชีพ” เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการหมักเนื้อเท่านั้น แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า การหมักด้วยผงเอนไซม์แช่ทิ้งไว้ข้ามคืนไม่ได้ เพราะจะทำให้เนื้อเละ และทำอาหารไม่อร่อยได้ เตือนแล้วนะ ส่วนผสม เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม ผงเอนไซม์จากสับปะรด และมะละกอดิบ 1/4 ช้อนชา วิธีหมักเนื้อหมูให้นุ่มด้วยผงเอนไซม์แบบมืออาชีพ เทผงเอนไซม์ลงบนเนื้อหมูที่เตรียมไว้พร้อมกับผสมให้เข้ากัน และทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นปรุงรสตามใจชอบ ตามสูตรของแต่ละคนได้เลย ก่อนจะนำมาหมักทิ้งไว้ 20-30 นาที และนำไปทำอาหารต่อ Q&A คำถามยอดฮิต เรื่องความปลอดภัยจาก 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม ทุกคนสงสัยแบบไหน เราก็สงสัยแบบนั้น งั้นให้หมูอินเตอร์ตอบ 4 คำถามที่ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยจาก 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม  ตามไปดูกันเลย Q : ถ้าเราหมักเนื้อหมูไว้ สามารถทิ้งไว้ข้ามคืนได้ไหม? A : คำถามนี้เหมาะกับคนขี้ลืม หรือพนักงานประจำที่ไม่มีเวลา  ต้องบอกเลยว่า ทิ้งไว้ข้ามคืนได้  แต่ต้องเลือกวิธีหมักที่มีเอนไซม์ไม่เยอะ เช่น ใช้นมสดในการหมักแทน เพราะใช้เอนไซม์ที่มาจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ Q : หมูที่หมักเก็บไว้ในห้องปกติได้ไหม? A : ไม่ได้ ต้องแช่ตู้เย็นเท่านั้น  เพื่อช่วยยืดอายุของเนื้อหมูที่หมักให้นานขึ้น รวมทั้งป้องกันการโตของเชื้อแบคทีเรียด้วย Q : ผงเอนไซม์ที่ใช้หมักหมูให้นุ่มตามร้านอาหารปลอดภัยแค่ไหน? A : ปลอดภัยแน่นอน ถ้าใช้เอนไซม์  1/4 ช้อนชา ต่อ เนื้อหมูหั่นชิ้น 500 กรัม  เพราะสกัดมาจากผลไม้ธรรมชาติอย่างสับปะรด และกีวี่ แต่อย่าใส่เยอะ และหมักนานเกินไป Q : แล้วถ้าหมักเนื้อหมูไว้หลายวัน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเนื้อหมูที่หมักไว้ยังใช้ได้อยู่? A : ง่าย ๆ เลย ดูจากสี กลิ่น และผิวสัมผัส ถ้ามีสีคล้ำ กลิ่นเปรี้ยวแรง หรือมีถ้ามีกลื่น ให้ทิ้งทันที เพียงแค่รู้ 5 สูตรหมักเนื้อหมูนุ่ม เราก็สามารถทำได้ง่าย ๆ หาซื้อวัตถุดิบได้ไม่ยาก นอกจากการหมักเนื้อหมู ยังได้หลักการเลือกเนื้อหมูที่ทำให้หมูนุ่ม  พร้อมตบท้ายด้วยการไขคำตอบที่ทุกคนสงสัย เรียกได้ว่าขนความรู้กลับบ้านไปอย่างเต็มอิ่ม  อ่านมาถึงตรงนี้ เพียงแค่แวะมาที่หมูอินเตอร์ใกล้บ้านคุณ ทุกสาขา หรือทางสั่งออนไลน์ก็คิดเมนูแสนอร่อยได้แล้ว ถ้าใครยังคิดไม่ออกว่าจะเอาเนื้อหมูมาทำอะไรได้บ้างหลังจากหมักแล้ว ไม่อยากทิ้งเพราะเสียดายของ หมูอินเตอร์ขอแนะนำเมนูหมูกระทะ ชาบู และปิ้งย่าง รับรองว่าทานแล้วนุ่ม อร่อย เคี้ยวเพลิน รับรองติดใจแน่นอน

Copyright © 2025 | MOOTINTER