หางหมูทอด เคล็ดลับความฟูเหมือนกินในร้านอาหาร

หางหมูทอดฟูกรอบ เมนูยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบ

พูดถึง “หางหมูทอด” ทำให้นึกถึงครั้งแรกที่ลองทำ เรียกได้เลยว่าเป็นประสบการณ์ที่จำได้ไม่ลืมว่า ภาพในหัวกับสิ่งที่ทำออกมามันต่างกันอย่างบอกไม่ถูก แทนที่จะได้หางหมูทอดหนังกรอบ ฟู กลับได้เนื้อนิ่ม ไม่กรอบ ไม่ฟู มาแทน แถมยังอมน้ำมันมาอีก เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ตัดสินใจไปกินหางหมูทอดข้างนอกตามร้านอาหารมากกว่าการลงมือทำเอง หรือเอาง่าย ๆ ว่ากลัวการเข้าครัวไปเลยก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวก่อน ใครที่เคยเจอเรื่องแบบเดียวกัน ในบทความนี้เราจะมาแจกสูตรการทำหางหมูกรอบ และทอดให้กรอบฟู เหมือนอยู่ในร้านอาหาร รับรองว่าคุณจะกล้าเข้าครัวทำอาหารแน่นอน แถมยังประหยัดงบในกระเป๋าแทนการออกไปกินข้าวข้างนอกได้อีกด้วย! สูตร หางหมูทอด กรอบฟูเหมือนร้านอาหาร หางหมูทอด เมนูทานเล่นที่ไม่ว่าจะเมนูหางหมูกรอบ ซอสพริกฉบับคนธรรมดา หรือหางหมูทอดกรอบ กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มแจ่ว และข้าวสวยร้อนๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อร่อยลงตัวในเวลาเดียวกัน สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่าวัตถุดิบที่หลายคนมองข้ามอย่างหางหมู คืออะไร นำไปทำเมนูอะไรได้บ้าง ลองเข้าไปอ่านและเข้าความรู้จักวัตถุดิบธรรมดานี้ก่อนว่าสามารถทำอะไรเมนูอะไรได้บ้าง ที่บางครั้งอาจจะช่วยสร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าให้กับเราได้ เผื่อในอนาคตใครอยากต่อยอดเป็นธุรกิจร้านอาหาร ตามไปดูสูตรทอดหางหมูพร้อมกับน้ำจิ้มหางหมูทอดกรอบรสเด็ดนี้กัน! วัตถุดิบหางหมูทอด ที่ต้องเตรียม หางหมู 4-5 หาง เกลือป่น น้ำส้มสายชู น้ำมันพืช ผงชูรส วิธีการทอด หางหมูทอด ให้อร่อย เตรียมหางหมูมาประมาณ 4-5 หาง ก่อนจะนำมาทำความสะอาด และขูดสิ่งสกปรกออกให้หมด จากนั้นล้างหางหมูด้วยเกลือประมาณ 2 กำมือ และล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อลดกลิ่นคาว และเมือกของหางหมู นำหางหมูที่ล้างด้วยน้ำสะอาดเรียบร้อยแล้ว มาต้มด้วยประมาณ 20 นาที พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มดูความสุกของหางหมู ก่อนจะตักขึ้นมาวางพักไว้ให้เย็น ใช้ส้อมจิ้มลงบนหางหมูให้ทั่ว ตรงนี้จะเป็นทริคสำคัญที่ช่วยให้เวลาทอดหางหมูกรอบ และฟูขึ้น นำเกลือมาทาให้ทั่วหางหมูประมาณ 1 กำมือ ก่อนจะเทผงชูรสพอประมาณตามใจชอบ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับหางหมูก่อนลงกระทะทอด เทน้ำส้มสายชูให้ทั่วหางหมูจนกว่าสีของหางหมูจะซีดลง เพื่อช่วยล้างเมือกและคราบน้ำมันที่เกาะอยู่บนหางหมูแถมยังช่วยให้หางหมูกรอบ และฟูมากขึ้นเวลาที่นำไปทอด จากนั้นนำหางหมูมาบั้ง หรือกรีดเป็นแนวขวางห่างประมาณ 1 ซม. และนำไปตากแดดประมาณ 1-2 ชม. ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน และนำหางหมูลงทอดจนสุก ขั้นตอนนี้จะต้องพยายามทำให้น้ำมันทั่วหางหมู นำหางหมูที่ทอดไว้รอบแรกขึ้นพักประมาณ 10-20 นาที ก่อนจะนำลงทอดด้วยไฟกลางและแรง ทอดไปจนกว่าสีขอหางหมูจะเหลืองจนสวย จากนั้นนำมาหั่น จัดจานและเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ดได้เลย น้ำจิ้มกินคู่กับ หางหมูทอด วัตถุดิบและส่วนผสมน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ด น้ำส้มสายชูหมัก 5 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2  ช้อนชา พริกสับ (จะใส่มากใส่น้อยตามความใจชอบ) วิธีการทำน้ำจิ้มหางหมูทอดรสเด็ด เทน้ำส้มสายชูลงในหม้อที่เตรียมไว้ทั้งหมด  5 ช้อนโต๊ะ ใส่ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะและตามด้วยน้ำทรายอีก 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนจะใส่เกลือลงอีกครึ่งช้อนชา เคี่ยวส่วนผสมทุกอย่างให้งวดจนละลายเข้ากัน จากนั้นเทน้ำจิ้มลงในถ้วยที่เตรียมไว้ และใส่พริกสับที่เราหั่นไว้ลงไปได้เลย ระดับความเผ็ดขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟ Tips หางหมูทอด ไม่อมน้ำมัน ฉบับคนเข้าครัว ล้างหางหมูด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำส้มสายชู จะช่วยลดกลิ่นคาวของหางหมูได้ ต้มหางหมูก่อนนำมาทอด ทริคนี้จะทำให้เวลาทอดหางหมูจะฟูมากขึ้น แนะนำให้ “บั้งหางหมู” ด้วยการกรีดเป็นร่องเล็ก ๆ เวลาทอดจะทำให้น้ำมันเข้าในเนื้อได้เยอะ และทำให้กรอบทั่วทั้งชั้น ตากหางหมูให้แห้งก่อนนำมาทอด จะช่วยให้เนื้อไม่อมน้ำมันเวลาทอด อยากทอดให้กรอบ และฟู ต้องทอดทั้งหมด 2 รอบ รอบแรกใช้ไฟอ่อน (จะทำให้สุกทั่วทั้งชิ้น) รอบที่สองใช้ไฟแรง เพื่อให้หางหมูเหลืองและกรอบฟู ใช้น้ำมันใหม่ในการทอดทุกครั้ง เพราะจะทำให้หางหมูออกมามีสีสวย และไม่มีกลิ่นเหม็น เวลาทอด ถ้าอยากให้เมนูหางหมูทอด หอมและอร่อยมากขึ้น ลองโรยงาขาวหลังทอดใหม่ ๆ  ทริคนี้จะช่วยเพิ่มความหอม และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบของเมนูได้ด้วย Q&A หางหมูทอด ทอดยังไงให้ฟูฉบับคนที่ไม่อยากออกบ้าน หลังจากรู้วิธีการทำหางหมูทอด พร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ดแล้ว หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า แล้วต้องทำยังไงให้หางหมู กรอบ ฟูหอมและอร่อยเหมือนกับร้านอาหาร แบบที่เราไม่ต้องเสียเวลาขับรถออกไปกินข้างนอก วันนี้หมูอินเตอร์รวม 7 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ “หางหมูทอดยังไงให้กรอบฟูและอร่อย” พร้อมกับคำตอบมาบอก ตามมาเลย! Q: ทอดหางหมูยังไงให้หนังกรอบฟู A: เคล็ดลับง่าย  ๆ เริ่มจากการเอาหางหมูไปต้มประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วหางหมู พร้อมบั้งหางหมูเป็นร่องเล็ก ๆ และเอาไปตากแดดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนจะทอดทั้งหมด 2 รอบ (รอบแรกใช้ไฟอ่อน รอบสองใช้ไฟแรง) แค่นี้ก็จะทำให้ได้หางหมูทอดที่กรอบ ฟู และอร่อยแล้ว Q: จำเป็นต้องต้ม และหมักหางหมูก่อนทอดไหม A: จำเป็นทั้งสองอย่าง เพราะการต้มหางหมูในน้ำเดือด จะช่วยลดกลิ่นคาวของหางหมูได้ ก่อนจะนำมาบั้ง พร้อมกับหมักด้วยเกลือ และน้ำส้มสายชูเล็กน้อย บอกว่าเลยตรงนี้คือทริคสำคัญที่ทำให้หางหมูทอด กรอบ ฟู และไม่อมน้ำมัน   Q: ถ้าไม่มีแดดให้ตากหางหมู ต้องทำยังไงให้กรอบ และฟู A: จะใช้พัดลม หรือเตาอบลมร้อนก็ได้ เพราะเราจะทำให้หางหมูแห้งพอประมาณก่อนจะทอด วิธีนี้จะช่วยให้หางหมูไม่อมน้ำมัน แถมยังกรอบและฟูด้วย Q: หางหมูทอดต้องใช้น้ำมันแบบไหน ถึงจะทอดออกมาสวย กรอบฟู ไม่เหม็นหืน A: แนะนำให้ใช้น้ำมันใหม่ เช่น น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันถั่วเหลือง เพราะน้ำมันใหม่จะทนต่อความร้อนได้ดี ทำให้หางหมูทอดออกมาสีสวย กรอบฟู และไม่เหม็นหืน ควรเลี่ยงการใช้น้ำมันซ้ำ หรือน้ำมันเก่า เพราะจะทำให้หางหมูมีสีคล้ำ และไม่กรอบ Q: หางหมูอบหม้อลมร้อน สามารถทำได้ไหมถ้าไม่อยากใช้น้ำมัน A: ทำได้ เพราะวิธีที่เอาหางหมูอบหม้อลมร้อน จะช่วยให้หางหมูอมน้ำมันน้อยกว่าการทอดในกระทะ แถมยังได้เนื้อสัมผัสที่กรอบเหมือนกับกำลังกินหางหมูทอดกรอบไร้น้ำมัน เมนูเหมาะกับสายรักสุขภาพแน่นอน   Q: หางหมูทอดสามารถทำเมนูอื่นอีกได้ไหม A: ทำได้หลายเมนู! ไม่ว่าจะนำไปคลุกกับเมนูผัดกะเพรา หรือจะเอาไปเป็นเครื่องเคียงของทอดกินคู่กับเมนูอย่างต้มยำก็ยังได้ ได้ทั้งความอร่อยที่กรอบ และฟูในเวลาเดียวกัน รับรองว่าได้เมนูใหม่ที่ไม่ซ้ำเดิม ไม่จำเจแน่นอน Q: หางหมูทอดกินคู่กับอะไรอร่อยที่สุด A: หางหมูทอดกินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด น้ำจิ้มแจ่ว หรือซอสพริกก็อร่อยลงตัว ยิ่งเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ จะทำให้หางหมูทอดที่ทั้งกรอบและฟู มีรสชาติอร่อยและกลมกล่อมเหมือนกินในร้านอาหารแน่นอน บอกเลยว่า เมนูหางหมูทอดไม่ได้มีดีที่ความอร่อยเท่านั้น แค่รู้วิธีการทำหางหมูที่ถูกต้อง รับรองว่าคุณจะมองเมนูนี้เปลี่ยนไป และกล้าเข้าครัวทำอาหารแน่นอน เพราะในบทความนี้เราได้บอกทั้งวิธีการทอดหางหมูให้กรอบ และวิธีทำน้ำจิ้มรสเด็ด แถมยังได้ทริคดี ๆ การทอดหางหมูให้กรอบฟู โดยไม่ต้องเสียเวลาออกไปข้างนอก ลองทำตามรับรองว่าสายทำอาหารที่บ้านแบบเรา ๆ นั้นก็ยกร้านอาหารมาไว้ที่บ้านได้ แล้วถ้าอยากเปลี่ยนจากหางหมูทอดเป็น หางหมูย่าง ล่ะ? จะใช้สูตรไหนหมักให้อร่อยและถูกใจคนในบ้าน ตามไปอ่านสูตรหมักหางหมูย่างได้ในบทความต่อ ๆ ไปได้เลย ได้ทั้งความรู้ และวิธีการทำที่ขนทัพการทำอาหารมาเพียบ!

หมูอินเตอร์ จากแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านขายหมูติดแอร์

หมูอินเตอร์ เรื่องราวความสำเร็จจากแผงขายหมู สู่ร้านหมูติดแอร์

ใครที่พึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหาร หรือธุรกิจอะไรก็ตาม แม้คุณจะเตรียมตัวมาอย่างดี เมื่อเปิดร้านครั้งแรก ความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ คุณเสียใจได้ พักได้ แต่ห้ามยอมแพ้ แล้วปล่อยให้ความพยายามนั้นสูญเปล่า ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยสักอย่าง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ “หมูอินเตอร์” ร้านขายหมูที่เกิดจากความตั้งใจของ คุณณรงค์ ธรรมจารี เจ้าของหมูอินเตอร์ เขาเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จากคนธรรมดาที่เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยการเลี้ยงหมู 2 ตัว ตั้งแผงขายหมูเล็ก ๆ หน้าบ้าน จนกลายมาเป็นร้านขายหมูติดแอร์ ที่พ่อค้าแม่ค้ากลับมาซื้อซ้ำ และเป็นที่รู้จักจนถึงทุกวันนี้ หมูอินเตอร์ ไม่ได้อินเตอร์แค่ชื่ออย่างเดียว! หลังจากเรียนรู้ เลียนแบบ และเรียนลัดมาหมดแล้ว ร้านหมูอินเตอร์เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2552 บนพื้นที่เล็ก ๆ จากเดิมเคยเป็นแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านหมูติดแอร์แห่งแรกของภาคเหนือ จากหนังสือหมูอินเตอร์ ธุรกิจยอดขายพันล้านที่วิกฤต และความจนเป็นคนสอน เล่าว่า “หมูอินเตอร์” สาขาแรกแทบไม่มีลูกค้าเข้าร้าน ถึงจะเตรียมพร้อมทุกอย่างมาอย่างดี แต่ก็ต้องสอบตก เพราะคนส่วนใหญ่ อาจจะคิดว่าถ้าเดินเข้ามาซื้อหมูร้านนี้ ต้องแพงแน่นอน รวมทั้งหลาย ๆ คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ยังไม่รู้จักว่า นี่คือ ร้านขายหมู มีเพียงแต่โปสเตอร์ที่ปริ้นมาติดอยู่หน้าร้านอย่างเดียว ทำให้คุณณรงค์ตัดสินใจทำป้ายร้าน “หมูอินเตอร์” พร้อมกับปั้นรูปปั้นหมูขึ้นมา 2 ตัวมาวางไว้หน้าร้านให้เป็นจุดสังเกตว่าร้านนี้คือ ร้านขายหมู ชื่อที่ทุกคนเรียกผมว่า… ไอ้รงค์หมู   ชื่อนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งชื่อ ร้านขายหมูติดแอร์แห่งนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกเขาว่า ไอ้รงค์หมู เพราะเขาเลี้ยงหมูมานาน ทำให้ชื่อนี้กลายเป็นฉายาของเขา ส่วนคำว่า อินเตอร์ ที่มาต่อท้ายคำนั้น เป็นเพราะอยากให้ร้านดูทันสมัย และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงวัย ไม่ว่าใครก็เดินเข้ามาซื้อหมูเราได้  แต่ก่อนจะเป็นชื่อหมูอินเตอร์ เคยใช้ชื่อ แม่สารพาณิชย์ มาก่อน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า MSP ย่อมาจากคำว่า แม่สาร คือ แม่น้ำแม่สาร หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อของ แม่สารป่าแดด พอนำมารวมกับชื่อของหมู่บ้านจะได้ชื่อว่า แม่สารพาณิชย์ ในช่วงที่คุณณรงค์ยังเลี้ยงหมู เขาได้หาที่ปรึกษาเข้ามาช่วย เป็นกลุ่มอาจารย์ระดับประเทศ  หนึ่งในนั้น คือ คุณหมอเป้า ที่ปรึกษาที่ช่วยตั้งชื่อร้านขายหมูแห่งนี้ให้   “ผมฝันไกลนะ เผื่ออีกหน่อย กิจการจะเติบโตมาก”  “มีโรงงาน มีอะไรพร้อมถึงขั้นส่งออกในระดับอินเตอร์”   คำพูดของคุณณรงค์ในวันนั้น ที่ถามที่ปรึกษาว่าควรตั้งชื่อร้านยังไงดี ให้ดูอินเตอร์ และมีความทันสมัยมากขึ้น ที่ปรึกษาเลยแนะนำว่าถ้าอยากให้ร้านดูสมัยใหม่ลองใส่คำว่า อินเตอร์ เข้าไป ทำให้กลายเป็นชื่อ “หมูอินเตอร์” ที่ทุกคนคุ้นหูในทุกวันนี้ ส่วนชื่อของบริษัทเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เอ็มเอสพี อินเตอร์ฟู้ดส์ (MSP Interfood) แทน เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาได้ระดับหนึ่งแล้ว มีทั้งชื่อร้าน ร้านติดแอร์เรียบร้อย อุปกรณ์และเครื่องต่าง ๆ มีพร้อมเหมือนคนอื่น ตอนนี้มาถึงโจทย์ที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจ คือ ทำยังไงถึงจะขายได้เพราะทั้งหมดที่ทำมาตอนแรก คือ “ได้ทำ” แต่สิ่งที่สำคัญ คือจะทำยังไงให้ “ทำได้”    แล้วจะทำยังไงให้ หมูอินเตอร์ เข้าไปวางในใจคน ในใจลูกค้าได้ ไม่ใช่แค่เป็นการวางสินค้าบนชั้นวางของแบบผ่าน ๆ อย่างเดียว… หมูอินเตอร์กับคำว่า ได้ทำ อาจยังไม่พอ ถ้าไม่ตอบโจทย์    ลูกค้าต้องการอะไร เราต้องหาขุมทรัพย์นี้ให้เจอ!   พอทำทุกอย่างครบแล้ว ทั้งปรับเปลี่ยนหน้าร้าน เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า พร้อมที่จะขายได้ตลอดเวลา แต่ถ้าสุดท้ายลูกค้าเดินเข้าร้านมาแล้วไม่ซื้อ หมายความว่าสิ่งที่เราทำมันยังไม่ตอบโจทย์กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ จนบางครั้งเกิดคำถามว่า เรามาผิดทางไหม สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องแก้ไขให้เร็วที่สุด ดูว่าเรายังขาดหัวใจสำคัญในเรื่องไหนบ้าง สุดท้ายแล้วถ้าเราขายเนื้อหมูราคาถูก เข้าถึงง่าย คุณภาพดี จะทำให้ลูกค้ากลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และคนที่ชอบทำอาหารเดินเข้ามาซื้อของอย่างไม่ขาดสายแน่นอน คุณณรงค์เชื่อว่า    เราต้องทำในสิ่งที่คนอยากซื้อ ต้องทำในสิ่งที่คนขายอยากขาย ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ   คุณณรงค์ใช้คำว่า “ต้องทำ” เท่านั้น หมายความว่า เราต้องคอยบอก และย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา เราต้องไม่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ หรือสิ่งที่เราคิดแต่ไม่ลงมือทำสักทีอีก แต่เรา ต้องทำ  ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ หาให้ได้ ว่าลูกค้าอยากได้อะไร นั่นคือเป้าหมายสำคัญ   แล้วจะทำยังไงให้เข้าใจว่า ลูกค้าอยากได้อะไร?   ถ้าอยากรู้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องหาให้เจอ แค่เริ่มจากการปรับทัศนคติของตัวเองให้เข้ากับลูกค้าคนละครึ่งทาง เพราะมุมมองความเห็นของคนเราต้องมีความเห็นที่ไม่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เราต้องเป็นคนเข้าหาลูกค้าก่อน ไม่ใช่รอให้ลูกค้าเข้าหาเรา เพราะฉะนั้น…    ให้ทำในสิ่งที่ “ควร” ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ “เคย” มากกว่า                                                             เพราะถ้าทำในสิ่งที่เคยทำ ต้องสำเร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องคอยมานั่งแก้ปัญหาอยู่บ่อย ๆ นั่นแสดงว่าที่เคยทำ และคิดว่าถูกแล้ว ยังไม่ใช่แน่นนอน ยกตัวอย่างว่าถ้ายังย่ำอยู่กับที่ ขายของแบบที่เคยขาย หั่นหมูแบบไม่พอดีคำ ทำตามใจไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับลูกค้า และตลาด สุดท้ายจะเป็นเราเองที่จะอยู่ไม่ได้จนต้องล้มเลิกธุรกิจไป    สุดท้ายแล้ว…ความผิดไม่ใช่ของลูกค้า  ความผิดอยู่ที่เรา ตัวเราต้องปรับตัวเข้าหาลูกค้า  ไม่ใช่ให้ลูกค้าปรับตัวเข้าหาเรา                 ช่วงแรกที่เริ่มเปิดร้าน คุณณรงค์พยายามบอกลูกค้าเก่า ด้วยการบอกปากต่อปาก และโทรศัพท์ไปบอกว่าเขาเปิดร้านขายหมูใหม่อยู่ที่เดิม หรือไม่ว่าจะเจอคนรู้จักก็บอกว่าร้านเขาขายหมูแบบห้องแอร์แล้ว ลองแวะมาซื้อกัน ช่วงเปิดร้านใหม่เรียกได้ว่าช่วงโปรโมท พยายามสร้างการรับรู้ยังไงก็ได้ ให้คนรู้จักหมูอินเตอร์มากที่สุด รวมทั้งพยายามเอาใจและทำทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่ายังไง   เราต้อง…พยายามเอาสินค้าเราไปนั่งในหัวใจเขาให้ได้   หลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน จากที่มีลูกค้ากลุ่มเดิมแวะเข้ามาซื้อเนื้อหมู ตอนนี้ได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบกินลาบและหลู้ เริ่มหันมาซื้อเนื้อหมูมากขึ้น เพราะส่วนมากเมนูนี้จะใช้วัตถุดิบพวกเครื่องใน และเลือดหมูเป็นหลัก ซึ่งจะแตกต่างจากที่อื่น ที่แยกขายแต่ละส่วน แต่ของหมูอินเตอร์ เราสามารถจัดเป็นชุดให้ได้เลย ทำให้ลูกค้าหลายคนชอบ เพราะสะดวก และประหยัดงบในมือมากกว่าการไปหาซื้อทีละส่วนแยกกัน จากเหตุการณ์นี้ทำให้คุณณรงค์เริ่มศึกษามากขึ้นว่า   ลูกค้าชอบอะไร ต้องการอะไร เราก็พร้อมทำให้หมด                            ไม่ว่าจะซื้อไปทำอาหารอะไร เวลาที่ลูกค้าต้องการให้หั่นเนื้อแบบไหน หั่นยังไง เราก็ทำให้ได้ ตามใจลูกค้าทุกอย่าง ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น ถ้ามีคนมาสั่งออเดอร์พิเศษ ต้องการหมูทำแกงฮังเล 60 กิโล ใช้ทำอาหารเลี้ยงสำหรับงานศพแบบนี้ เราจะหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ พร้อมใช้ได้ทันที เวลาที่ลูกค้ามารับของจากเราไป แค่แกะถุงก็พร้อมปรุงได้เลยทันที ไม่ต้องมานั่งหั่นให้เสียเวลา หรือแม้แต่คุณยายที่มาขอซื้อเนื้อหมู 5 บาท 10 บาทแบบนี้เราก็ขาย   จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ด้วยการตั้งแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านขายหมูติดแอร์เจ้าแรกของภาคเหนือที่ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ อ่านมาถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ “หมูอินเตอร์” ร้านขายหมูในห้องแอร์เดินไปข้างหน้าได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะมีสินค้าดี ราคาถูก และมีคุณภาพเท่านั้น แต่ต้องมีความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนให้ทันโลกปัจจุบัน กล้าถาม กล้าสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า และหาคำตอบให้ได้ว่า “ลูกค้าอยากได้อะไร และเราจะทำยังให้ลูกค้าได้บ้าง” สุดท้ายขอแค่ใส่ใจ กล้าที่จะทำ และต้องทำให้ได้ ทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้แน่นอน   “ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้” คุณณรงค์ ธรรมจารี, เจ้าของหมูอินเตอร์   … แล้วคุณล่ะ กล้าที่จะลงมือทำรึยัง?   เลือกว่าจะเป็นถ่านหรือเป็นเพชร?  

คากิ vs ขาหมู ต่างกันยังไง มือใหม่เข้าครัวต้องรู้

คากิ vs ขาหมู ต่างกันยังไง บทความอธิบายความแตกต่างเมนูหมูตุ๋นยอดนิยม

“คากิ” และ “ขาหมู” หลายคนชอบสับสนว่า คือ ส่วนเดียวกัน ต่างกันแค่ชื่อเรียกจะเรียกแบบไหนก็ได้ แต่ความจริงแล้วมาจากคนละส่วนของหมู ทำให้มีเนื้อสัมผัส  ความมันของเนื้อหมูแตกต่างกัน  ถ้าเลือกวัตถุดิบผิด อาจจะทำให้เมนูที่คิดไว้ไม่อร่อยได้ ในบทความนี้หมูอินเตอร์ได้รวบรวมมาให้หมดแล้วว่า วัตถุดิบทั้งสองอย่างนี้ คืออะไร ต่างกันยังไง เหมาะกับเมนูแบบไหน และมีเคล็ดลับการเลือกหมูยังไงให้ได้เนื้อดี ไม่เละ ใครที่กำลังจะเข้าครัว ทำเมนูคากิพะโล้ คากิหมูตุ๋น คากิหมูทอด ลองอ่านบทความนี้ก่อน จะได้ไม่พลาดเมนูแสนอร่อยจากวัตถุดิบนี้! คากิ คืออะไร? ทำไมถึงเป็นส่วนที่คนรักเมนูขาหมูต้องสั่ง คากิ มาจากภาษาจีนแต้จิ๋วที่เรียกว่า “ตือคากิ” หรือรู้จักกันในชื่อของ “ตีนหมู”  เป็นส่วนของขาหมูตั้งแต่ข้อเท้าไปจนถึงปลายเท้าของหมู ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เอ็น หนัง และกระดูกของขาหมู รวมถึงไขมันด้วย บางครั้งอาจจะมีเนื้อหมูเล็กน้อย หรือแทบไม่มีเลย แต่กลับมีจุดเด่นในเรื่องเนื้อสัมผัสที่มีความนุ่ม เหนียว ละลายในปาก รวมทั้งได้รสชาติที่เข้มข้นจากการต้ม หรือตุ๋นเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูยอดฮิตอย่างข้าวขาหมู คากิพะโล้ หรือคากิตุ๋น ก็อร่อยได้ไม่แพ้กัน แนะนำว่าถ้าใครอยากได้รสชาติที่กลมกล่อม และเข้มข้นให้ตุ๋นด้วยสมุนไพร และเครื่องเทศ จะได้รสชาติที่อร่อยจนวางช้อนไม่ลง ขาหมู คืออะไร? วัตถุดิบยอดฮิตของใครหลายคน ขาหมู คือ ส่วนหนึ่งของขาหน้า และขาหลังของหมูตั้งแต่ต้นขาไปจนถึงข้อเท้าของหมู มีเนื้อแดง ไขมัน เอ็น และหนังรวมอยู่ในชิ้นเดียวกัน ทำให้ขาหมูมีเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย ได้ทั้งความนุ่ม แน่น และหนึบ แถมยังเคี้ยวได้เต็มคำ เหมาะกับการต้ม ตุ๋น และเคี่ยวจะใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะจะช่วยให้เนื้อเปื่อยนุ่มได้ตามต้องการ ยิ่งต้มกับสมุนไพร หรือเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมแบบไทย และจีน ก็จะดึงรสชาติของเนื้อขาหมูออกมาได้เยอะขึ้น อย่างเมนูยอดนิยม ขาหมูพะโล้ ขาหมูเยอรมัน ใครที่ชอบรสชาติกลมกล่อม เค็ม มัน หวาน ครบทุกรส รับรองว่าขาหมูตอบโจทย์ความอร่อยอย่างแน่นอน คากิ vs ขาหมู เลือกไม่ถูก ต่างกันยังไง? ไปตลาดก็หลายครั้ง เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตก็บ่อยอยู่ แต่ทำไมชอบยืนงงในดงเนื้อหมู เลือกไม่ถูกว่าต้องซื้อคากิ หรือ ขาหมู กันแน่ บางครั้งซื้อไปเพราะเข้าใจว่าทั้งสองอย่างนี้มาจากส่วนเดียวกัน “มันก็คือขาหมูเหมือนกัน  จะใช้ส่วนไหนก็ได้” หลายคนคงคิดแบบนี้ ทำให้เจอปัญหาตอนทำอาหารว่าทำไมทำถึงไม่ได้รสชาติตามที่ต้องการ ถ้าตอนนี้ใครที่กำลังเลือกวัตถุดิบมาทำอาหาร ลองดูตารางเปรียบเทียบนี้ดูก่อนซื้อได้เลย! ตารางเปรียบเทียบ คากิ vs ขาหมู ความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร! หัวข้อเปรียบเทียบ คากิ 🐖 ขาหมู 🐖 ตำแหน่ง ส่วนปลายขา: ตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงปลายเท้าของหมู ส่วนต้นขาไปจนถึงข้อเท้าของหมู ลักษณะของเนื้อ เน้นเอ็น หนัง กระดูก และไขมันเล็กน้อย (แทบจะไม่มีเนื้อแดง) มีเนื้อแดงค่อนข้างเยอะ แถมยังมีไขมัน เอ็น และหนัง ในปริมาณกำลังดี เนื้อสัมผัส เนื้อหนึบ นุ่ม เคี้ยวเพลิน เนื้อแน่น เต็มคำจากเนื้อแดง และเคี้ยวเพลิน วิธีปรุง ตุ๋น/ต้ม ให้เนื้อเปื่อย และนุ่ม ตุ๋น/ต้ม ให้เนื้อเปื่อย และนุ่ม ราคา ราคาถูกกว่า มีขนาดเล็ก ใช้ทำงานง่าย ราคาสูงตามขนาดและปริมาณของเนื้อขาหมู เมนูยอดนิยม คากิพะโล้, คากิตุ๋น, คากิทอด ข้าวขาหมู, ขาหมูเยอรมัน, ขาหมูพะโล้ เคล็ดลับฉบับหมูหมู เลือกคากิยังไงให้อร่อยทุกเมนู เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง การเลือกคากิเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการทำเมนูอร่อยในแต่ละมื้อ ไม่ว่าจะเป็นข้าวขาหมู หรือคากิพะโล้รสเด็ดก็อร่อยได้ เพียงเริ่มจากเลือกวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ รับรองว่าได้รสชาติ และเนื้อสัมผัสที่ดีอย่างแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าเคล็ดลับการเลือกซื้อคากิหมูง่าย ๆ เป็นยังไงนั้น ตามไปดูกัน! คากิ & ขาหมู วิธีการเลือกแบบทั่วไป ทริคง่าย ๆ ที่ทุกคนควรรู้ ก่อนจะพาทุกคนไปตะลุยเคล็ดลับการเลือกซื้อคากิหมูกันนั้น เราขอแนะนำทริคง่าย ๆ ในการเลือกเนื้อหมูก่อนซื้อว่าควรเลือกยังไง ดูจากตรงไหน เราถึงจะได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพไปทำอาหารให้ออกมาดี และอร่อยที่สุด เป็นทริคง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อที่ไม่ว่าใครก็จำได้ รับรองว่าไม่ต้องเดินวนซ้ำไปซ้ำมา ไม่ยืนงงอยู่ในดงหมูแน่นอน! สีของเนื้อหมู  ต้องมีสีออกชมพูอ่อน ๆ ไม่มีสีแดงเข้ม และคล้ำมากจนเกินไป กดดูความแน่นของเนื้อหมู เนื้อหมูที่มีความสดใหม่จะเรียกได้ว่ามีความแน่น และยืดหยุ่นได้ดี เวลาที่เรากดลงบนเนื้อแล้วเนื้อหมูจะต้องเด้งกลับขึ้นมาทันที ไม่รอย และค้างจนเห็นรอยนิ้วมือ กลิ่นของเนื้อหมู เนื้อหมูที่ดีต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เวลาเราไปซื้อของที่ตลาด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ถ้าเราได้กลิ่นเนื้อหมูที่มีกลิ่นเหม็น เราก็คงไม่เลือกซื้อ และเดินออกจากร้าน หรือโซนนั้นไปแบบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ผิวของเนื้อหมู นอกจากสีของเนื้อหมูที่สำคัญแล้ว ผิวของเนื้อหมูก็สำคัญไม่แพ้กัน ผิวหนังของหมูที่ดี ต้องสะอาด ไม่มีรอยช้ำ หรือคล้ำของเลือด รวมทั้งไม่มีเหมือก และขนติดอยู่ที่ผิวของเนื้อหมู พาลัดเลาะ ตะลุยทริควิธีเลือก “คากิ” วัตถุดิบที่หลายคนเลือกใช้ ตอนนี้ทุกคนพอจะรู้วิธีการเลือกเนื้อหมูแบบทั่วไปกันแล้ว ถือว่า งั้นคราวนี้เรามาจะพาทุกคนมาลัดเลาะ ตะลุยทริควิธีเลือก “คากิ” วัตถุดิบโปรดของหลายคนที่ซื้อมาทำอาหารกัน ว่าควรเลือกยังไงดี ให้ได้คากิที่เนื้อแน่น สะอาด และทำอาหารอร่อยด้วย 4 วิธีง่าย ๆ ตามไปดูกัน! เลือกคากิยังไง ให้ได้ของอร่อยแค่ดูด้วยตาเปล่า วิธีการเลือกคากิต้องเลือกคากิหมูชิ้นที่เนื้อแน่น มีเนื้อและหนังที่หุ้มกระดูกเยอะ หรือบางครั้งอาจจะบอกไปว่าต้องการคากิหมูส่วนไหน ขาหมูส่วนหน้า หรือ ขาหมูส่วนหลัง แบบนี้จะทำให้ดีกว่าคากิหมูที่มีเนื้อและหนังน้อย เพราะเวลานำไปต้ม หรือตุ๋นการที่เนื้อคากิหมูแน่น จะทำให้ดูน่ากิน และดึงดูดคนทานมากกว่า นอกจากการเลือกด้วยตาเปล่าแล้ว การบอกพ่อค้าแม่ค้า หรือร้านขายเนื้อสัตว์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง สำหรับมือใหม่เข้าครัว หรือพ่อแม่ค้าที่มีเวลาอย่างจำกัดในเวลาที่ทำอาหาร  แนะนำว่าให้บอกร้านว่าต้องการให้สับ และตัดเล็บของคากิหมูให้ด้วย แบบนี้จะทำให้สะดวกขึ้น รวมทั้งลดเวลาทำอาหารในแต่ละวันได้อีกด้วย   ดูจากสีและผิวของคากิ สีของคากิส่วนใหญ่มักจะมีสีชมพูอ่อน หรือสีอมขาว ไม่หมอง ไม่แดง และไม่คล้ำจนเกินไป ส่วนเรื่องของผิวหนังต้องสะอาด ไม่มีขนหมู รอยช้ำ และรอยเลือดติดอยู่ เพราะถ้าเลือกคากิที่รอยช้ำ หรือมีรอยเลือดไปนั้นอาจจะทำให้มีกลิ่นคาว และรสชาติที่ไม่ดีเวลาที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  หลัก ๆ แล้ววิธีการเลือกจะเหมือนกับการเลือกเนื้อหมูทั่วไป   กลิ่นและเนื้อสัมผัสของคากิ วิธีการเลือกคากิว่าสดใหม่หรือไม่นั้น ต้องมีกลิ่นที่ไม่เหม็นเน่า หรือเหม็นเปรี้ยว โดยส่วนมากเนื้อหมูมักจะมีกลิ่นคาวเฉพาะตัวตามธรรมชาติอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้อสำคัญของการเลือกคากิ คือ ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นมากเกินไป ส่วนในเรื่องของเนื้อสัมผัส จะดูยังไงว่าคากิชิ้นนี้พร้อมใช้ได้ทันที ให้ลองใช้นิ้วกดลงบนเนื้อ และสังเกตดูว่าถ้าเนื้อเด้งกลับขึ้นมาทันทีหลังจากที่กดแล้ว นั่นหมายความว่า คากิชิ้นนี้ พร้อมใช้ทำอาหารได้ทันที แต่ต้องสังเกตพร้อมกับวิธีการเลือกคากิข้ออื่น ๆ ด้วย    เลือกซื้อคากิหมูผ่านร้านค้าที่เราไว้วางใจ หลายคนคิดว่าการเลือกซื้อคากิต้องดูแค่สี กลิ่น เนื้อสัมผัส เท่านั้น แต่ความจริงแล้วหัวใจหลักของคากิ ที่เรามักจะมองข้ามกัน คือ ร้านค้าที่เราเดินเข้าไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารทุกครั้งก็สำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะทั้งเนื้อหมู ไก่ วัว หรือปลา วัตถุดิบทุกอย่าง ควรซื้อจากร้านเนื้อหมูสดที่สะอาด มีคุณภาพ และใส่ใจในทุกขั้นตอน ถ้าใครยังไม่มีร้านขายเนื้อหมูโปรดในใจ ขอแนะนำร้านขายเนื้อหมูติดแอร์อย่าง “หมูอินเตอร์” แค่มาที่เราก็ได้ของครบจบในที่เดียวแน่นอน ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ของไม่ครบ อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะตอบความสงสัยของใครหลายคนได้แล้วบ้างว่าระหว่างคากิ และขาหมูแตกต่างกันยังไง แต่ละส่วนใช้ทำเมนูไหนได้บ้าง เรารวบรวมไว้ให้หมดแล้ว แม้คากิและขาหมู จะมาจากส่วนของหมูที่ต่างกันแต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ เรื่องรสชาติและเนื้อสัมผัส ไม่ว่าเราจะใช้วัตถุดิบส่วนไหนทั้งคากิ หรือขาหมู ก็จะให้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม แน่น อร่อยเต็มคำ แถมยังได้รสชาติที่เข้มข้นจากการตุ๋นด้วยเครื่องเทศ และสมุนไพรแน่นอน   รู้จักความแตกต่างของคากิและขาหมูกันแล้ว งั้นในบทความต่อไปเราจะพาทุกคนตะลุยกันต่อว่า คากิหมูจะทำเมนูรักสุขภาพอะไรได้บ้าง  มาดูว่าจะเป็นเมนูที่ใช่ เมนูโปรดของใครหลายคนไหม สายรักสุขภาพ ห้ามพลาดเมนูแสนอร่อยอย่างคากิเด็ดขาด!

หางหมูยาจีน สูตรโบราณ เมนูรักสุขภาพ ทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน

หางหมูยาจีน สูตรเด็ดความอร่อยสำหรับคนรักสุขภาพ

หางหมูยาจีน เมนูยอดฮิตของสายรักสุขภาพที่มีต้นตำรับมาจากสมัยจีนโบราณ บางคนอาจยังไม่รู้จักเมนูนี้ ที่ได้ฉายาว่าเป็นยารักษาโรค บอกเลยว่าเต็มไปด้วยประโยชน์จากสมุนไพรจีน แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม หนึบ และละลายในปาก ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนย้อนไปสมัยจีนโบราณกัน ไปรู้จักกับที่มาของเมนูหางหมูยาจีน พร้อมสูตรอร่อยที่ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน รับรองว่าได้ทั้งความอร่อย และประโยชน์ที่เต็มอิ่มจนต้องอยากกลับบ้านไปทำให้คนที่บ้านกินแน่นอน! หางหมูยาจีน ต้นตำรับที่ควรรู้ ย้อนกลับมายุคจีนโบราณทั้งที มารู้จักกับต้นตำรับของเมนูนี้กันก่อนดีกว่ามีที่มาจากไหน ความจริงแล้วต้นตำรับของเมนูนี้ เกิดมาจากวัฒนธรรมของจีนโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง และชิง ในเรื่องของแพทย์แผนจีน ที่เล่าต่อกันมาว่า อาหาร คือ ยารักษาโรค ต้นตำรับนี้จะเน้นการใช้หางหมูเป็นวัตถุดิบหลัก ที่มีคอลลาเจนสูง ผสมกับใช้สมุนไพรจีน อย่าง โป๊ยกั๊ก อบเชย ตังกุย เก๋ากี้ และเปลือกส้มแห้ง จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพราะฉะนั้น การเลือกวัตถุดิบที่ดีและรู้วิธีการทำที่ถูกต้อง จะทำให้ได้ทั้งประโยชน์ และความอร่อยไปในเวลาเดียวกัน! หางหมูยาจีน จากความรู้ทางการแพทย์สู่เมนูบำรุงร่างกาย หางหมู เป็นส่วนที่มีไขมันและคอลลาเจนเยอะ เวลานำไปหางหมูตุ๋นจะช่วยบำรุงผิวพรรณและข้อต่อ ถ้านำไปปรุงอาหารรวมกับสมุนไพรอย่าง “ตังกุย” จะช่วยบำรุงเลือด และปรับฮอร์โมน นอกจากนี้ยังมี “พุทราจีน” และ “เก๋ากี้” ผลไม้ที่ให้ความหวาน แถมยังช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย หางหมู เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่มีฤทธิ์ร้อน ส่วนสมุนไพรจีนชนิดที่อยู่ในเมนูหางหมูยาจีนจะมีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นกับร่างกายทั้ง 2 อย่างนี้เปรียบเหมือน “หยินกับหยาง” ที่มาหักล้างกันให้สมดุล ทำให้เหมาะสำหรับคนที่หนาวง่าย อ่อนเพลีย หรือมีโรคประจำตัว อย่างโรคโลหิตจาง มักจะนิยมทำในฤดูหนาวเพราะจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น จุดเด่นของ หางหมูยาจีน ทำไมถึงเป็นมากกว่าซุปที่อร่อย? หางหมู ถึงจะเป็นวัตถุดิบที่หลายคนมองข้าม แต่เวลาที่นำมาทำอาหาร กลับกลายเป็นเมนูที่มีความพิเศษและโดดเด่นมากขึ้น อย่างเมนูหางหมูยาจีน  ที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเนื้อสัมผัส ประโยชน์ ส่วนผสม หรือแม้แต่การนำวัฒนธรรมของจีนโบราณเข้ามาใช้กับอาหารไทยจนเป็นที่รู้จักกัน เราได้รวบรวมจุดเด่นของเมนูนี้มาแล้ว ตามไปดูกันเลย! หางหมู  วัตถุดิบที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม หนึบ ละลายในปาก ส่วนมากจะเน้นหนัง เส้นเอ็น และไขมัน ไม่ว่าจะนำมาต้ม หรือตุ๋น จะทำให้เนื้อนุ่ม หนึบ และเคี้ยวเพลิน สามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนู ไม่เพียงแต่เมนูนี้เท่านั้น แต่ยังทำเมนูหางหมูต้ม หางหมูตุ๋น หรือหางหมูพะโล้ได้ แค่นำไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ ก็ทำให้ได้เนื้อที่มีรสชาติเข้มข้น และเนื้อสัมผัสที่นุ่มตามความต้องการแน่นอน รวมทั้งได้รสชาติของน้ำซุปที่หวาน กลมกล่อม และสมุนไพรที่ตุ๋นรวมกันในหม้อ เมนูความอร่อย เต็มไปด้วยสมุนไพรจีน เมนูนี้มักจะใช้วิธีการตุ๋น และต้ม เพื่อทำให้เนื้อนุ่ม และหนึบกำลังดี จะใส่ส่วนผสมสมุนไพรจีนอย่าง ตังกุย พุทราจีน เก๋ากี้ โป๊ยกั๊ก และอบเชยที่ช่วยบำรุงร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เมนูนี้มีจุดเด่นเป็นเหมือนยาในรูปแบบของอาหารที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง น้ำซุปมีกลิ่นหอม และความหวานจากสมุนไพร ส่วนมากน้ำซุปจะไม่ใส่ผงชูรส เพราะใช้พุทราจีน และเก๋ากี้เป็นตัวให้ความหวานและความหอมกับเมนูนี้ ทำให้หางหมูยาจีนโดดเด่นในเรื่องของความหอมและรสชาติที่หวาน ยิ่งใช้เวลานานในการเคี่ยวจะทำให้น้ำซุปเข้มข้นมากขึ้น เปิดสูตรโบราณวิธีทำ พร้อมกับเคล็ดลับความอร่อย! รู้จักทั้งต้นตำรับ และจุดเด่นของเมนูนี้แบบคร่าว ๆ กันแล้ว งั้นเรามาเปิดสูตรโบราณ หางหมูยาจีน ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านง่าย ๆ เพียงแค่ซื้อวัตถุดิบอย่างหางหมู และสมุนไพรจีนไม่กี่อย่างมาทำเอง ก็ทำให้ได้น้ำซุปที่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และหอมกลิ่นสมุนไพรทันที ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปข้างนอก วัตถุดิบและส่วนผสม หางหมู 500 กรัม ตังกุยแห้ง 4 แผ่น พุทราจีน 8 ลูก เก๋ากี้ 1 ช้อนโต๊ะ โป๊ยกั๊ก 2 ดอก อบเชยแท่ง 1 แท่ง น้ำสะอาด 6 ถ้วยครึ่ง ขิงแก่ (หั่นแว่น) กระเทียม ขั้นตอนและวิธีทำ ขั้นตอนแรกเตรียมหางหมู และล้างให้สะอาด ก่อนนำไปต้มน้ำเดือดประมาณ 5 นาที เพื่อลดกลิ่นคาว หลังจากนั้นใส่น้ำสะอาดลงหม้อ ก่อนจะใส่ขิง กระเทียม ตังกุย พุทราจีน อบเชย เก๋ากี้ โป๊ยกั๊ก และอบเชย ต้มจนได้กลิ่นสมุนไพร พอได้กลิ่นสมุนไพรแล้ว ให้ใส่หางหมูที่เตรียมไว้ลงหม้อ ก่อนจะลดไฟอ่อนและตุ๋นหางหมูไว้ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง สามารถเพิ่มน้ำตามที่ต้องการได้ สามารถใส่ซีอิ๊วขาว หรือเกลือเล็กน้อยได้ตามใจชอบ เพื่อเพิ่มรสชาติ หลังจากที่ตุ๋นจนเนื้อนุ่มแล้ว ตักใส่ถ้วยและโรยพริกไทย เพื่อเพิ่มความอร่อย ก่อนนำมาเสิร์ฟพร้อมทานได้เลย เคล็ดลับความอร่อยทำได้ง่าย มือใหม่ควรรู้! เวลาตุ๋น แนะนำว่าให้ใช้หม้อเคลือบ หรือหม้อดิน จะทำให้น้ำซุปมีกลิ่นหอม และรสชาติเข้มข้น อร่อยมากขึ้นจากเดิม เวลาปรุงแนะนำว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส เพราะสมุนไพรจีนให้ความหวานกับเมนูนี้อยู่แล้ว Q&A หางหมูยาจีน เมนูที่คนรุ่นใหม่ยังไม่รู้จัก คนรุ่นใหม่อาจตั้งคำถามหลายอย่างว่า “หางหมูกินยังไง?”  “อร่อยจริงมั้ย?” แล้ว “ดีต่อสุขภาพจริงเหรอ?” แม้หลายคนจะไม่ค่อยรู้จักกับหางหมูยาจีน อาจจะทำให้งง ๆ ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี วันนี้เราเลยรวบรวม 5 คำถามยอดฮิตมาตอบทุกคนเกี่ยวกับอาหารจานเด็ดนี้แล้ว รีบตามมาดูคำตอบกัน! Q: ทำไมต้องใช้หางหมู ทำเมนูประเภทต้ม หรือตุ๋น A: เพราะหางหมูมีหนัง และเอ็นของไขกระดูกที่มีคอลลาเจนสูง ช่วยเรื่องบำรุงผิวพรรณ เวลาที่นำมาตุ๋นจะทำให้เนื้อนุ่ม หนึบและน้ำซุปมีรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม เหมาะกับการตุ๋นคู่กับสมุนไพรจีนที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ Q: หางหมูยาจีนกับซุปกระดูกหมูทั่วไปแตกต่างกันยังไง A: เมนูนี้มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้สมุนไพรจีนหลายอย่างเข้ามาตุ๋นกับหางหมู ไม่ว่าจะเป็น ตังกุย พุทราจีนและเก๋ากี้ ที่ช่วยให้ความหวาน กลิ่นหอมกับน้ำซุป โดยไม่ต้องใส่ผงชูรส ส่วนซุปกระดูกหมูธรรมดาจะเน้นการเคี่ยวกระดูกและปรุงรสจากผงชูรส Q: ถ้าหาซื้อสมุนไพรจีนไม่ครบ ทำได้ไหม A: ทำเมนูนี้ได้แน่นอน แต่เราจะเลือกใช้เฉพาะตังกุย พุทราจีน เก๋ากี้ที่ให้ความหวานและประโยชน์แก่ร่างกาย แทบไม่ต้องปรุง หรือจะปรับวิธีการทำตามวัตถุดิบที่มีได้เลย Q: หางหมูยาจีน มีสรรพคุณช่วยอะไรได้บ้าง A: ช่วยบำรุงเลือด บำรุงไต เสริมคอลลาเจนให้กับร่างกาย ฟื้นฟูพลังงานและยังลดความเย็นในร่างกายได้ด้วย Q: หางหมูยาจีน เหมาะกับคนกลุ่มไหน A: เมนูนี้เหมาะกับกลุ่มคนที่รักสุขภาพ ผู้สูงอายุ คนที่เป็นโรคโลหิตจาง ผู้หญิงหลังคลอด และคนที่หนาวง่าย เพราะช่วยบำรุงเลือด ฟื้นฟูร่างกาย และช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายของเราอุ่นพอดี เชื่อได้เลยว่า ถึงวัตถุดิบนี้จะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของหลายคน เวลาที่ซื้อของมาทำอาหาร แต่พอได้รู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ก็รู้ว่า หางหมู เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้เยอะมากแถมยังได้ประโยชน์อีก อย่างเมนูหางหมูยาจีนที่เอาสมุนไพรจีนมาตุ๋นกับหางหมู ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อมมากขึ้น แถมยังได้ความหวานจากสมุนไพรจีน จนแทบไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย แนะนำว่าลองไปทำตามกันดูนะ รับรองว่าคุณจะมองหางหมูเปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน หรือ อาจกลายเป็นของโปรดของใครหลายคน เวลาทำอาหารทุกวันก็ได้ และถ้ายังนึกไม่ออกว่าหางหมูเอาไปทำอะไรได้อีก ตามไปอ่านสูตรหางหมูพะโล้ต่อได้เลย แล้วมาเปิดสูตรความอร่อยนี้ไปด้วยกัน!

สูตรหางหมูพะโล้ ตุ๋นเนื้อนุ่ม ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อยได้

หางหมู วัตถุดิบที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย

สูตรหางหมูพะโล้ เคยลองทำกันรึยัง? ถึงหางหมูจะเป็นวัตถุดิบที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ด้วยเนื้อสัมผัสที่มีความนุ่ม หนึบ การทำเมนูตุ๋นอย่าง “หางหมูพะโล้” จะได้เมนูที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่ทั้งกลมกล่อม เข้มข้น หวานติดเค็มเล็กน้อย แถมยังถูกปากทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ หรือจะทำให้คนที่คุณรักทาน ก็รับรองว่าเป็นเมนูพิเศษแสนอร่อยของหลายคนได้แน่นอน วันนี้เราเลยพาทุกคนมาตะลุยสูตรหางหมูพะโล้ ที่ได้ทั้งความนุ่ม อร่อย ละลายในปากจนต้องร้องว้าว ไปตะลุยสูตรนี้กัน! สูตรหางหมูพะโล้ คืออะไร มาทำความรู้จัก เมนูขาประจำของทุกบ้านกัน! ก่อนจะไปเปิดสูตรการทำหางหมูพะโล้โบราณ ลองมาทำความรู้จักที่มาของพะโล้โบราณกันก่อนว่า พะโล้มีต้นกำเนิดมาจากไหน ทำไมถึงกลายมาเป็นสูตรโบราณที่ทั้งอร่อย และกลมกล่อม จนกลายเป็นเมนูขาประจำของทุกบ้านได้ “พะโล้” มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศจีน โดยเฉพาะกลุ่มของคนจีนแต้จิ๋ว ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย และเอาสูตรอาหารอย่างพะโล้ ติดตัวเข้ามาด้วย ทำให้คำว่า “พะโล้” ถูกคิดว่าน่าจะเพี้ยนเสียงมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วว่า “ผะโล่ว (卤)” แปลว่า การตุ๋นในน้ำพะโล้ให้อาหารมีรสหวาน และเค็มสลับกัน ผสมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศ สูตรต้นฉบับจากจีน ใช้วิธีการเคี่ยวน้ำตาลทรายแดงในกระทะให้เป็นสีน้ำตาล ก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น ซีอิ๊ว เครื่องเทศ พวกอบเชย โป๊ยกั๊ก สมุนไพรจีนชนิดหลายชนิด และเนื้อหมู ลงไปในหม้อ แล้วเคี่ยวให้สุก วิธีนี้จะทำให้พะโล้มีรสชาติเข้มข้น และอร่อยมากขึ้น  ส่วนสูตรของคนไทยบอกเลยว่า จะเน้นเรื่องรสชาติที่หงาน เค็ม กลมกล่อมและหอมกำลังดีจากสมุนไพรไทยสามทหารเสืออย่าง รากผักชี กระเทียม และพริกไทย เรียกได้ว่าอร่อย ถูกปากหลายคนแน่นอน! สูตรหางหมูพะโล้: เคล็ด (แต่) ไม่ลับ ความอร่อยของเรา หางหมูพะโล้ เรียกได้ว่าเป็นเมนูความอร่อยที่ใช้วัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง อร่อยได้ในหม้อเดียว จากหางหมู วัตถุดิบที่หลายคนมองข้ามกลับกลายมาเป็นอาหารจานเด็ดของหลายคนที่มีทั้งความนุ่ม หอม และเข้มข้น ด้วยวิธีการตุ๋นในหม้อเป็นเวลานานด้วยสมุนไพรของไทยอย่างสามเกลอ ไม่ว่าจะเป็นรากผักชี กระเทียม และพริกไทย รับรองว่าได้เนื้อนุ่มตามที่ต้องการแน่นอน ละลายในปาก แถมได้น้ำซุปที่เข้มข้น อร่อยโดนใจแบบไม่ต้องปรุงเพิ่มที่หลังอีก สูตรหางหมูพะโล้ที่ดี ไม่ใช่แค่ต้องวัตถุดิบดี แต่ต้องมีเทคนิคในการตุ๋นให้นุ่มละลายในปาก แต่ยังคงรสชาติของเมนูนี้ไว้ด้วย ถ้าอยากรู้เคล็ดที่ (ไม่) ลับ ตามมาดูสูตรอร่อยกันเลย! วัตถุดิบและส่วนผสม หางหมูหั่นท่อน 500 กรัม ไข่ไก่ 4 ฟอง (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) เต้าหู้แข็ง 1 ก้อน กระเทียมทุบละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 2 ราก พริกไทยขาวเม็ด 1 ช้อนชา เกลือ 1/2  ช้อนชา น้ำตาลปิ๊บ 4 – 6 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 2 ทัพพี น้ำเปล่า (เทให้ทั่วหางหมู และไข่ไก่) ซีอิ๊วดำหวานเล็กน้อย (ถ้าสีของน้ำซุปเข้มแล้วไม่ต้องใส่เพิ่ม) วิธีการทำหางหมูพะโล้สูตรโบราณ ต้มไข่ไก่บนกระทะ 6 นาที ใส่เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ และคอยคนไข่ไก่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ไข่แดงอยู่กลางใบสวยพอดี จากนั้นแช่ไข่ในน้ำเย็น ปอกเปลือก และพักไว้ เตรียมและล้างหางหมูให้สะอาด ก่อนจะนำมาลวกในหม้อประมาณ 3 – 5 นาที เพื่อลดกลิ่นคาว ก่อนจะหั่นเป็นชิ้นตามความต้องการ ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้ละเอียด แล้วนำไปผัดในหม้อด้วยไฟอ่อนจนหอม และพักทิ้งไว้ เติมน้ำเปล่าลงในหม้อ ใส่น้ำตาลปิ๊บ และเคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนได้สีน้ำตาลเข้ม จากนั้นใส่เครื่องแกงที่ผัดแล้ว ลงในหม้อที่เคี่ยวแล้ว และปรุงรสด้วยน้ำปลา และคนให้เข้ากัน ใส่หางหมูที่หั่นชิ้นลงไปในหม้อ ตั้งไฟกลางจนหางหมูเริ่มนุ่ม เติมน้ำเปล่าเพิ่มตามความต้องการ ต้มจนเดือดและลดไฟให้เบาลง ก่อนจะใส่ไข่ไก่ เต้าหู้ทอดลงในหม้อ เคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนจนหางหมูนุ่มได้ที่ ถ้าต้องการสีของน้ำซุปให้เข้มขึ้น สามารถเติมซีอิ๊วดำเพิ่มได้ตามความชอบ เคล็ดลับเพื่มความอร่อย หางหมูพะโล้ โป๊ยกั๊ก และ อบเชย  จะช่วยเพิ่มความหอมของพะโล้แบบจีนโบราณ ถ้าทิ้งไว้ข้ามคืน และอุ่นกินตอนเช้า จะทำให้รสชาติมีความเข้มข้น และกลมกล่อมมากขึ้น กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือจะกินกับข้าวต้มก็เข้ากันได้ดี อร่อยแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม Q&A สูตรหางหมูพะโล้ เมนูโปรดของทุกบ้าน อร่อย นุ่ม ทำได้ไม่ยาก! ไปเปิดสูตรวิธีทำหางหมูพะโล้โบราณกันมาแล้ว หลายคนอาจมีคำถามที่คาใจว่า “จะทำให้หางหมูนุ่มได้ยังไง ?” “ถ้าขาดวัตถุดิบบางอย่างยังทำเมนูนี้ได้อยู่ไหม?” วันนี้หมูอินเตอร์รวม 5 คำถามมาตอบคำถามที่สงสัยกัน จะมีคำถามไหนบ้างนั้น ตามไปอ่านกัน! Q: หางหมูพะโล้ต้มยังไงให้นุ่ม A: เคล็ดลับความนุ่มง่าย ๆ คือการต้มหางหมูในน้ำเดือดประมาณ 3 – 5 นาที จากนั้นนำไปตุ๋นไฟอ่อน ด้วยสมุนไพรอย่าง รากผักชี กระเทียม และพริก ประมาณ 1 ชั่วโมง จะช่วยให้เนื้อหางหมูสุก และนุ่มพอดี ลองไปทำตามกันดูนะ! Q: หางหมูพะโล้ต้องใส่อะไรบ้าง A: วัตถุดิบหลัก ๆ ที่ใช้ทำหางหมูพะโล้ จะมีหางหมู ไข่ไก่ เต้าหู้ น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วดำ น้ำปลา และที่ขาดไม่ได้ คือ สมุนไพร สามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) ที่ช่วยเพิ่มความหอม แต่ถ้าใครอยากได้ความหอมมากขึ้นก็ใส่โป๊ยกั๊ก และอบเชย เพื่อเพิ่มความหอมก็ได้ Q: โป๊ยกั๊ก และอบเชย จำเป็นต้องใส่ในหางหมูพะโล้ทุกครั้งไหม A:  ไม่จำเป็นต้องใส่ในพะโล้ทุกครั้งก็ได้ เพราะเรามีส่วนผสมอย่างรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้ความหอมอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้ความหอมแบบจีนโบราณ แนะนำว่าให้ใส่โป๊ยกั๊ก 1 – 2 ดอก และอบเชยเล็กน้อย จะทำให้กลิ่นหอมมากขึ้น Q: ทำไมต้องใส่น้ำตาลปี๊บลงในพะโล้ A:  น้ำตาลปี๊บจะช่วยให้พะโล้มีรสหวาน กลมกล่อม และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งจะแตกต่างจากน้ำตาลทรายทั่วไปที่ให้ความหวานอย่างเดียว Q: เมนูพะโล้เก็บไว้ได้นานไหม A:  ถ้าแช่พะโล้ไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้ 2 – 3 วัน แต่ถ้าแช่แข็งไว้จะเก็บได้นานถึง 1 อาทิตย์ เรียกได้ว่าถ้าเอามาอุ่นกินซ้ำจะได้รสชาติที่กลมกล่อม และเข้มข้นขึ้น ใครที่เคยมองข้ามหางหมู ไม่ว่าจะเคยกินแล้วหรือยังไม่เคยลอง แล้วคิดว่าไม่อร่อย ลองมาเปิดใจให้กับวัตถุดิบนี้ดู ไม่งั้นจะถือว่าพลาดของอร่อย เพราะหางหมู เป็นวัตถุดิบที่ทำอาหารได้มากกว่าที่เราคิด อย่างเมนูหางหมูพะโล้สูตรโบราณที่ตุ๋นกับสมุนไพรจนได้เนื้อที่มีความนุ่ม หนึบ หอมกลิ่นเครื่องเทศ แถมยังได้น้ำซุปที่มีความเข้มข้นถูกปากใครหลายคนแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม และถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเอาไปทำเมนูไหนอีก ตามมาอ่าน หางหมูทำอะไรได้บ้าง ได้เลย รับรองว่าวัตถุดิบที่คนมองข้ามนี้อาจจะกลายเป็นวัตถุดิบขาประจำของหลายบ้านก็ได้นะ

Copyright © 2025 | MOOTINTER