หมูอินเตอร์ จากแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านขายหมูติดแอร์

หมูอินเตอร์ เรื่องราวความสำเร็จจากแผงขายหมู สู่ร้านหมูติดแอร์

ใครที่พึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหาร หรือธุรกิจอะไรก็ตาม แม้คุณจะเตรียมตัวมาอย่างดี เมื่อเปิดร้านครั้งแรก ความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ คุณเสียใจได้ พักได้ แต่ห้ามยอมแพ้ แล้วปล่อยให้ความพยายามนั้นสูญเปล่า ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยสักอย่าง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ “หมูอินเตอร์” ร้านขายหมูที่เกิดจากความตั้งใจของ คุณณรงค์ ธรรมจารี เจ้าของหมูอินเตอร์ เขาเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จากคนธรรมดาที่เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยการเลี้ยงหมู 2 ตัว ตั้งแผงขายหมูเล็ก ๆ หน้าบ้าน จนกลายมาเป็นร้านขายหมูติดแอร์ ที่พ่อค้าแม่ค้ากลับมาซื้อซ้ำ และเป็นที่รู้จักจนถึงทุกวันนี้ หมูอินเตอร์ ไม่ได้อินเตอร์แค่ชื่ออย่างเดียว! หลังจากเรียนรู้ เลียนแบบ และเรียนลัดมาหมดแล้ว ร้านหมูอินเตอร์เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2552 บนพื้นที่เล็ก ๆ จากเดิมเคยเป็นแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านหมูติดแอร์แห่งแรกของภาคเหนือ จากหนังสือหมูอินเตอร์ ธุรกิจยอดขายพันล้านที่วิกฤต และความจนเป็นคนสอน เล่าว่า “หมูอินเตอร์” สาขาแรกแทบไม่มีลูกค้าเข้าร้าน ถึงจะเตรียมพร้อมทุกอย่างมาอย่างดี แต่ก็ต้องสอบตก เพราะคนส่วนใหญ่ อาจจะคิดว่าถ้าเดินเข้ามาซื้อหมูร้านนี้ ต้องแพงแน่นอน รวมทั้งหลาย ๆ คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ยังไม่รู้จักว่า นี่คือ ร้านขายหมู มีเพียงแต่โปสเตอร์ที่ปริ้นมาติดอยู่หน้าร้านอย่างเดียว ทำให้คุณณรงค์ตัดสินใจทำป้ายร้าน “หมูอินเตอร์” พร้อมกับปั้นรูปปั้นหมูขึ้นมา 2 ตัวมาวางไว้หน้าร้านให้เป็นจุดสังเกตว่าร้านนี้คือ ร้านขายหมู ชื่อที่ทุกคนเรียกผมว่า… ไอ้รงค์หมู   ชื่อนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งชื่อ ร้านขายหมูติดแอร์แห่งนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเรียกเขาว่า ไอ้รงค์หมู เพราะเขาเลี้ยงหมูมานาน ทำให้ชื่อนี้กลายเป็นฉายาของเขา ส่วนคำว่า อินเตอร์ ที่มาต่อท้ายคำนั้น เป็นเพราะอยากให้ร้านดูทันสมัย และเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงวัย ไม่ว่าใครก็เดินเข้ามาซื้อหมูเราได้  แต่ก่อนจะเป็นชื่อหมูอินเตอร์ เคยใช้ชื่อ แม่สารพาณิชย์ มาก่อน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า MSP ย่อมาจากคำว่า แม่สาร คือ แม่น้ำแม่สาร หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อของ แม่สารป่าแดด พอนำมารวมกับชื่อของหมู่บ้านจะได้ชื่อว่า แม่สารพาณิชย์ ในช่วงที่คุณณรงค์ยังเลี้ยงหมู เขาได้หาที่ปรึกษาเข้ามาช่วย เป็นกลุ่มอาจารย์ระดับประเทศ  หนึ่งในนั้น คือ คุณหมอเป้า ที่ปรึกษาที่ช่วยตั้งชื่อร้านขายหมูแห่งนี้ให้   “ผมฝันไกลนะ เผื่ออีกหน่อย กิจการจะเติบโตมาก”  “มีโรงงาน มีอะไรพร้อมถึงขั้นส่งออกในระดับอินเตอร์”   คำพูดของคุณณรงค์ในวันนั้น ที่ถามที่ปรึกษาว่าควรตั้งชื่อร้านยังไงดี ให้ดูอินเตอร์ และมีความทันสมัยมากขึ้น ที่ปรึกษาเลยแนะนำว่าถ้าอยากให้ร้านดูสมัยใหม่ลองใส่คำว่า อินเตอร์ เข้าไป ทำให้กลายเป็นชื่อ “หมูอินเตอร์” ที่ทุกคนคุ้นหูในทุกวันนี้ ส่วนชื่อของบริษัทเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เอ็มเอสพี อินเตอร์ฟู้ดส์ (MSP Interfood) แทน เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาได้ระดับหนึ่งแล้ว มีทั้งชื่อร้าน ร้านติดแอร์เรียบร้อย อุปกรณ์และเครื่องต่าง ๆ มีพร้อมเหมือนคนอื่น ตอนนี้มาถึงโจทย์ที่ยากที่สุดของการทำธุรกิจ คือ ทำยังไงถึงจะขายได้เพราะทั้งหมดที่ทำมาตอนแรก คือ “ได้ทำ” แต่สิ่งที่สำคัญ คือจะทำยังไงให้ “ทำได้”    แล้วจะทำยังไงให้ หมูอินเตอร์ เข้าไปวางในใจคน ในใจลูกค้าได้ ไม่ใช่แค่เป็นการวางสินค้าบนชั้นวางของแบบผ่าน ๆ อย่างเดียว… หมูอินเตอร์กับคำว่า ได้ทำ อาจยังไม่พอ ถ้าไม่ตอบโจทย์    ลูกค้าต้องการอะไร เราต้องหาขุมทรัพย์นี้ให้เจอ!   พอทำทุกอย่างครบแล้ว ทั้งปรับเปลี่ยนหน้าร้าน เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า พร้อมที่จะขายได้ตลอดเวลา แต่ถ้าสุดท้ายลูกค้าเดินเข้าร้านมาแล้วไม่ซื้อ หมายความว่าสิ่งที่เราทำมันยังไม่ตอบโจทย์กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ จนบางครั้งเกิดคำถามว่า เรามาผิดทางไหม สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องแก้ไขให้เร็วที่สุด ดูว่าเรายังขาดหัวใจสำคัญในเรื่องไหนบ้าง สุดท้ายแล้วถ้าเราขายเนื้อหมูราคาถูก เข้าถึงง่าย คุณภาพดี จะทำให้ลูกค้ากลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และคนที่ชอบทำอาหารเดินเข้ามาซื้อของอย่างไม่ขาดสายแน่นอน คุณณรงค์เชื่อว่า    เราต้องทำในสิ่งที่คนอยากซื้อ ต้องทำในสิ่งที่คนขายอยากขาย ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ   คุณณรงค์ใช้คำว่า “ต้องทำ” เท่านั้น หมายความว่า เราต้องคอยบอก และย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา เราต้องไม่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ หรือสิ่งที่เราคิดแต่ไม่ลงมือทำสักทีอีก แต่เรา ต้องทำ  ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ หาให้ได้ ว่าลูกค้าอยากได้อะไร นั่นคือเป้าหมายสำคัญ   แล้วจะทำยังไงให้เข้าใจว่า ลูกค้าอยากได้อะไร?   ถ้าอยากรู้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องหาให้เจอ แค่เริ่มจากการปรับทัศนคติของตัวเองให้เข้ากับลูกค้าคนละครึ่งทาง เพราะมุมมองความเห็นของคนเราต้องมีความเห็นที่ไม่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เราต้องเป็นคนเข้าหาลูกค้าก่อน ไม่ใช่รอให้ลูกค้าเข้าหาเรา เพราะฉะนั้น…    ให้ทำในสิ่งที่ “ควร” ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ “เคย” มากกว่า                                                             เพราะถ้าทำในสิ่งที่เคยทำ ต้องสำเร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องคอยมานั่งแก้ปัญหาอยู่บ่อย ๆ นั่นแสดงว่าที่เคยทำ และคิดว่าถูกแล้ว ยังไม่ใช่แน่นนอน ยกตัวอย่างว่าถ้ายังย่ำอยู่กับที่ ขายของแบบที่เคยขาย หั่นหมูแบบไม่พอดีคำ ทำตามใจไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับลูกค้า และตลาด สุดท้ายจะเป็นเราเองที่จะอยู่ไม่ได้จนต้องล้มเลิกธุรกิจไป    สุดท้ายแล้ว…ความผิดไม่ใช่ของลูกค้า  ความผิดอยู่ที่เรา ตัวเราต้องปรับตัวเข้าหาลูกค้า  ไม่ใช่ให้ลูกค้าปรับตัวเข้าหาเรา                 ช่วงแรกที่เริ่มเปิดร้าน คุณณรงค์พยายามบอกลูกค้าเก่า ด้วยการบอกปากต่อปาก และโทรศัพท์ไปบอกว่าเขาเปิดร้านขายหมูใหม่อยู่ที่เดิม หรือไม่ว่าจะเจอคนรู้จักก็บอกว่าร้านเขาขายหมูแบบห้องแอร์แล้ว ลองแวะมาซื้อกัน ช่วงเปิดร้านใหม่เรียกได้ว่าช่วงโปรโมท พยายามสร้างการรับรู้ยังไงก็ได้ ให้คนรู้จักหมูอินเตอร์มากที่สุด รวมทั้งพยายามเอาใจและทำทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่ายังไง   เราต้อง…พยายามเอาสินค้าเราไปนั่งในหัวใจเขาให้ได้   หลังจากเปิดร้านได้ไม่นาน จากที่มีลูกค้ากลุ่มเดิมแวะเข้ามาซื้อเนื้อหมู ตอนนี้ได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบกินลาบและหลู้ เริ่มหันมาซื้อเนื้อหมูมากขึ้น เพราะส่วนมากเมนูนี้จะใช้วัตถุดิบพวกเครื่องใน และเลือดหมูเป็นหลัก ซึ่งจะแตกต่างจากที่อื่น ที่แยกขายแต่ละส่วน แต่ของหมูอินเตอร์ เราสามารถจัดเป็นชุดให้ได้เลย ทำให้ลูกค้าหลายคนชอบ เพราะสะดวก และประหยัดงบในมือมากกว่าการไปหาซื้อทีละส่วนแยกกัน จากเหตุการณ์นี้ทำให้คุณณรงค์เริ่มศึกษามากขึ้นว่า   ลูกค้าชอบอะไร ต้องการอะไร เราก็พร้อมทำให้หมด                            ไม่ว่าจะซื้อไปทำอาหารอะไร เวลาที่ลูกค้าต้องการให้หั่นเนื้อแบบไหน หั่นยังไง เราก็ทำให้ได้ ตามใจลูกค้าทุกอย่าง ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น ถ้ามีคนมาสั่งออเดอร์พิเศษ ต้องการหมูทำแกงฮังเล 60 กิโล ใช้ทำอาหารเลี้ยงสำหรับงานศพแบบนี้ เราจะหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้น ๆ พร้อมใช้ได้ทันที เวลาที่ลูกค้ามารับของจากเราไป แค่แกะถุงก็พร้อมปรุงได้เลยทันที ไม่ต้องมานั่งหั่นให้เสียเวลา หรือแม้แต่คุณยายที่มาขอซื้อเนื้อหมู 5 บาท 10 บาทแบบนี้เราก็ขาย   จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ด้วยการตั้งแผงขายหมูหน้าบ้าน สู่ ร้านขายหมูติดแอร์เจ้าแรกของภาคเหนือที่ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ อ่านมาถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ “หมูอินเตอร์” ร้านขายหมูในห้องแอร์เดินไปข้างหน้าได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะมีสินค้าดี ราคาถูก และมีคุณภาพเท่านั้น แต่ต้องมีความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนให้ทันโลกปัจจุบัน กล้าถาม กล้าสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า และหาคำตอบให้ได้ว่า “ลูกค้าอยากได้อะไร และเราจะทำยังให้ลูกค้าได้บ้าง” สุดท้ายขอแค่ใส่ใจ กล้าที่จะทำ และต้องทำให้ได้ ทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้แน่นอน   “ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้” คุณณรงค์ ธรรมจารี, เจ้าของหมูอินเตอร์   … แล้วคุณล่ะ กล้าที่จะลงมือทำรึยัง?   เลือกว่าจะเป็นถ่านหรือเป็นเพชร?  

SME ธุรกิจขนาดเล็ก สู่ “หมูอินเตอร์” แบรนด์ท้องถิ่นระดับประเทศ

จาก SME ธุรกิจขนาดเล็ก สู่ “หมูอินเตอร์” แบรนด์ท้องถิ่นระดับประเทศ

การเริ่มต้น SME ธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจส่วนตัวได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด บางคนอาจคิดว่าจะเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ได้ต้องใช้ทุนเป็นกำหนด ทุนก็สำคัญ แต่ด้วยปัจจุบันมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ธุรกิจหลายครอบครัวไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้  เพราะแบบนี้เราจึงขอยกตัวอย่างบทเรียนสำคัญของคุณณรงค์ ธรรมจารี เจ้าของ “หมูอินเตอร์”  เป็นหนึ่งคนที่ยึดคำว่า “ SME สู้ มุ่งมั่น และอดทน” มาเป็นแรงผลักดันของความพยายามในการทำงาน บทเรียนชีวิตที่เริ่มต้นจาก SME ธุรกิจขนาดเล็ก สู่ ธุรกิจหมูอินเตอร์ เรื่องราวเริ่มต้นจากการเลี้ยงหมู 2 ตัว จนเกิดเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ แต่วันหนึ่งคุณณรงค์ตัดสินใจขายฟาร์มทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงแต่ โรงเชือดเล็ก ๆ เขาเริ่มทำอาชีพใหม่ คือ การตั้งแผงหมูหน้าบ้าน แผงเล็ก ๆ เอาหมูที่มาจากโรงเชือดของตนเองออกมาขาย แม้ราคาเนื้อหมูในช่วงนั้นจะตกลงมากแต่ก็อดทนทำ เพราะมีภาระอีกตั้งมากมายที่ต้องใช้กินใช้จ่าย ถ้าไม่ทำก็เท่ากับอดตาย เขาต้องอดทนยืนขาย สู้แดดสู้ฝนในแต่ละวัน บางวันก็ขายได้หลักร้อย บางวันก็ขายได้หลักพัน หลายครั้งคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นอาจพูดถึงคุณณรงค์ว่า “จบแล้วไอ้รงค์เอ๋ย บอกแล้วว่าอย่าขายฟาร์มไปก็ไม่เชื่อ” แต่สำหรับคุณณรงค์นั้น ใครจะนำเรื่องเขาไปพูดยังไงก็ไม่สำคัญ แต่เราต้องพิสูจน์ให้เขาเห็น นั่นเป็นทางเดียวที่จะลบคำสบประมาทเหล่านั้นได้ “อย่าปล่อยให้น้ำลายคนอื่นมาหยุดฝัน ทำลายอนาคตเราและครอบครัวเรา” จากประโยคที่ว่า “อย่าปล่อยให้น้ำลายของคนอื่นมาหยุดฝัน ทำลายอนาคตและครอบครัวของเรา” นั้น เป็นเรื่องจริง หลายคนคงเคยเจอกับคำพูดที่สบประมาทจากคนรอบข้างว่า… “บ้างก็ว่าทำไม่ได้หรอก”  “จะทำได้จริงเหรอ”  “จะคอยดูแล้วกัน” ฟังดูเผิน ๆ ประโยคที่พูดอาจจะดูเหมือนเป็นคำธรรมดา แต่ความจริงแล้วคนฟังจะจำไปตลอดชีวิต บางคนถึงขั้นล้มเลิกความคิดนั้นไป ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำด้วยซ้ำ คุณเสียใจได้ แต่อย่าลืมกลับเอาคำพูดเหล่านั้น กลับมาเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ ธุรกิจขนาดเล็ก ก้าวไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ให้ได้เหมือนกับคำพูดของคุณณรงค์ที่เคยบอกไว้ แต่ไม่ว่าจะยังไง เขายังเชื่อมั่นเสมอว่า “โอกาส” และ “ความสำเร็จ” เกิด – ขึ้นได้ทุกวินาที ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ถึงแม้จะมีอุปสรรคเข้ามาแบบไม่หยุด ไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็ตาม จะทั้งซ้าย หรือ ขวา ก็ต้องผ่านไปให้ได้ เหมือนกับเหตุการณ์ตอนขายหมูสด แผงกำลังไปได้ดี แต่จู่ ๆ ก็ไม่มีหมูให้ขาย เพราะโรงเชือดไม่มีหมูมาเชือด ทำให้ต้องขอซื้อหมูจากชาวบ้านเอามาเชือดและนำมาขายเอง พร้อมกับเริ่มนำอาหารสัตว์กลับมาขายอีกครั้ง โดยได้แนวคิดมาจากเซลล์บริษัทที่ริเริ่มให้เขาหันกลับมาลองทำอาหารสัตว์ขายอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มไปสอบถามลูกค้าเก่าว่าใครเลี้ยงหมูที่ไหน เลี้ยงทั้งหมดกี่ตัว นำมาจดและเก็บข้อมูล พร้อมเสนอเงื่อนไขที่ว่าร้านเราขายอาหารสัตว์ ถ้าคุณสนใจก็มาซื้ออาหารร้านเราไป แล้วเราจะรับซื้อหมูของคุณกลับมา ตอนแรกก็เริ่มต้นทำเล็ก ๆ บ้านต่อบ้าน   สุดท้ายได้รับผลตอบกลับมากขึ้น คนสนใจเข้าร่วมโครงการเยอะขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่เคยเอาเปรียบลูกค้า  อะไรที่สามารถช่วยได้ ขอให้บอกเพราะเขาก็เหมือนคนในครอบครัว นั่นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของธุรกิจอาหารสัตว์ และครอบครัวเลี้ยงหมูของคุณณรงค์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าถ้าเราไม่แม้จะพยายาม และอดทนกับสิ่งที่กำลังเจออยู่นั้น ผลสำเร็จตรงหน้าก็ไม่มีมาให้เห็นอย่างแน่นอน ช่วงนั้นคำว่า “SME” คือ การเริ่มต้นทำธุรกิจขนาดเล็ก แต่สมัยนี้ไม่ว่าใครจะพูดถึงเอสเอ็มอีก็เข้าใจได้ง่ายว่าเป็นการทำธุรกิจขนาดเล็กของคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ใช้ต้นทุนน้อยในการสร้าง ไม่ได้หวือหวา แต่จากหนังสือหมูอินเตอร์ ธุรกิจยอดขายพันล้านที่วิกฤตและความจนเป็นผู้สอน คุณณรงค์ ธรรมจารี เจ้าของร้านหมูอินเตอร์ขนาดใหญ่ ได้กล่าวว่า สำหรับคุณณรงค์นั้น SME อาจจะไม่เหมือนคนอื่น ไม่ใช่ธุรกิจ ไม่เคยมีใครสอน และหามีความหมายจากหนังสือเล่มไหนไม่ได้ ในความคิดของเขานั้น ได้ให้นิยามคำว่า SME ไว้ว่า S คือ ใจสู้ไม่ถอย M คือ มานะบากบั่น ไม่ยอมแพ้กับปัญหา หรืออุปสรรคต่าง ๆ   E คือ อดทนอย่างถึงที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้มีแรงผลักดันที่สำคัญ คือ “ความฝัน” ขึ้นชื่อว่าความฝัน มันไม่มีอะไรง่ายอย่างที่เราต้องการทุกอย่าง คุณณรงค์เชื่อว่าการฝันมีทั้งหมด 2 อย่าง คือ “เพ้อฝัน” และ “ใฝ่ฝัน” ทุกคนล้วนมีความฝันที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากมีความสุขในแบบของตนเอง สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ อยากประสบความสำเร็จในการทำงาน การค้า หรือในด้านต่าง ๆ ตามที่เราหวังไว้ แต่ทำไมหลายคนถึงไปไม่ถึงเป้าหมาย ทำไมถึงทำไม่สำเร็จสักที หรือ… “เพราะอาจจะเช้าฝันอย่าง กลางวันฝันอีกอย่าง เย็นฝันอีกอย่าง” สรุปแล้วเพ้อฝันไปเรื่อย วางแผนว่าจะทำ และ ฝันมากเกินไป จนไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้ มันทำให้ไม่เกิดผลงานออกมาให้เห็น มีเพียงแต่ความฝัน และคำพูดที่ผ่านไปในแต่ละวันเท่านั้น ถ้าเปรียบกับสำนวนสุภาษิต คำพังเพยของไทย จะเรียกว่า ผลัดวันประกันพรุ่ง คิดไว้ว่าจะทำแต่สุดท้ายก็ไม่ลงมือทำ เขามักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า ทำไมผมเริ่มท้อ เริ่มถอดใจล่ะ “ปัญหาและวิกฤตที่เกิดขึ้น พระเจ้าส่งมาทดสอบเรานะ แล้วเราจะยอมแพ้เป็นถ่าน หรือจะสู้ให้ผ่านเป็นเพชรให้ได้” หลังจากนั้นเขาได้กลับมานั่งคิดว่าตนเองยังทำไม่ถูกวิธี กำลังหลงทาง หรืออดทนไม่พอกับสิ่งที่กำลังจะลงมือทำกันแน่ เขาจะยอมเป็นถ่านหรือเพชร แม้จะถูกเผาด้วยคาร์บอนเหมือนกันแต่การใช้ความร้อนต่างกัน ความทนทานก็ต่างกัน ให้เลือกว่าในชีวิตคุณอยากจะเป็นแบบไหน อยากจะทนความร้อนได้น้อย ยอมแพ้และถอยหลังไปเป็นถ่านธรรมดา ๆ พอถึงเวลาก็แตกหักไป หรือจะอดทน พยายาม รอเวลาคอยเป็นเพชรที่ล้ำค่า แต่แลกมาด้วยความลำบากและอดทนที่จะสู้ไปให้ถึงฝันที่ตั้งไว้ ระหว่างทางอาจจะเจอปัญหามากมายมาให้เราแก้ไขตลอดเวลา แต่สุดท้ายเชื่อเถอะว่า เราจะขอบคุณความยากที่ทำให้เราเก่งขึ้นได้ และก้าวนำคนอื่นไปได้หนึ่งก้าว เพราะความสำเร็จไม่มีทางลัด ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่มีทางได้มาอย่างง่ายดาย ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้า คือ การเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนที่จะเป็นเพชรได้นั้น ต้องเรียนรู้ และลงมือทำอยู่ตลอดเวลา หมั่นหาความรู้ กล้าที่จะทำในสิ่งที่คิดไว้ และไม่ล้มเลิกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาตั้งแต่แรก กล้าที่จะยอมล้มเหลวไม่ว่าจะต้องทำอีกกี่ครั้ง ไม่กลัวกับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่ลงมือทำ สิ่งนี้จะทำให้ SME ธุรกิจขนาดเล็กของเราอยู่ในตลาด ถึงแม้จะพึ่งเริ่มทำธุรกิจก็ตาม ถ้าเราเริ่มต้นที่เรียนรู้ และพัฒนาไปข้างหน้าแบบไม่ย่ำอยู่กับที่ เชื่อในตัวเองรับรองว่า ธุรกิจของเรานั้นจะเป็นที่รู้จักได้แน่นอน เพียงแค่เราเชื่อมั่นในตัวเอง ลองสู้เหมือนกับคุณณรงค์ ธรรมจารี เจ้าของหมูอินเตอร์ ที่เริ่มต้นจากแผงขายหมูหน้าบ้าน มาเป็นร้านขายหมูติดแอร์ที่ลูกค้าต้องกลับมาซื้อซ้ำ ไม่ใช่แค่ร้านขายเนื้อหมูที่ติดแอร์แต่เป็นมากกว่าร้านที่เข้าใจลูกค้า สุดท้ายแล้วการจะเป็นเพชรนั้น ไม่ได้ใช้เวลาแค่ไม่วันก็ทำได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการทำ หรือขั้นตอนที่หลากหลาย ผ่านแรงกดดันในหลาย ๆ เรื่อง ต้องอดทน และทนทานต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ถ้าคุณมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นแล้ว อย่าหยุดพยายาม อย่าละทิ้งความฝัน ลงมือทำ และคิดไว้เสมอว่าทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้านั้น จะทำให้คุณเริ่มเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องพยายามให้กำลังกับตัวเอง พัฒนา และเรียนรู้อยู่เสมอ การที่เราพัฒนาอยู่เสมอนั้น จะทำให้คนรู้จักแบรนด์ หรือธุรกิจมากขึ้นในอนาคต คุณต้องเชื่อว่า… “ในโลกนี้…ไม่มีอะไรที่เกินปัญญา และความสามารถของมนุษย์” อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ยอมแพ้ หรือท้อแท้กับการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ลองมาอ่านบทความนี้หวังว่า คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากจุดเริ่มต้นของร้านขายหมูติดแอร์อย่าง “หมูอินเตอร์” ที่เริ่มต้นจากการเลี้ยงหมู 2 ตัว ใครจะคิดว่าการเริ่มต้นเล็ก ๆ แบบนี้จะพาคุณณรงค์ ธรรมจารี ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างร้านขายเนื้อหมูติดแอร์แห่งแรกของภาคเหนือที่ใครหลายคนรู้จักจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า หรือคนที่หาแรงบันดาลใจในการทำธุจกิจ เชื่อได้ว่าคุณจะมองคำว่า SME เปลี่ยนไปว่าไม่ใช่แค่เป็นธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น แต่จะเป็นคำว่า “SME สู้ ไม่ท้อต่ออุปสรรค มุ่งมั่น และอดทนจนถึงที่สุด”  “แล้วคุณล่ะ กำลังยอมเป็นถ่าน หรือสู้เพื่อเป็นเพชร”

Copyright © 2025 | MOOTINTER